Thursday, November 25, 2010

การเดินทางครั้งนั้น

บ้านอยู่ต่างจัดหวัดก็เป็นธรรมดานะคะที่จะต้องเดินทางกลับบ้านบ่อยๆ แต่สังเกตได้ว่าปีนี้จะมีเรื่องตื่นเต้นระหว่างเดินทางให้ได้พบเจอ ครั้งแรกก็รถเสีย อยู่ดีๆก็ดับไปซะงั้น ครั้งนั้นเหตุเกิดบริเวณไม่มีบ้านใครเลย สองข้างทางเป็นป่า สวนยาง สวนปาล์ม เส้นทางภายใจจังหวัดตรัง (จำไม่ได้ว่าหมู่บ้านอะไร เสียดายจัง) ครั้งนั้นโชคดีมีคนใจดีมาช่วยพาไปหาช่างซ่อมรถในเมือง กว่าจะหาได้ก็ปาไปหลายชั่วโมง เพราะวันนั้นเป็นวันแรงงาน ร้านรวงต่างๆปิดกันไปหมด ศูนย์รถก็ปิด นึกถึงเวลาเหตุการณ์เกิดตอนวันหยุดแล้วเศร้าจริงๆ ติดต่อใครไม่ได้ แต่เราก้อผ่านกันมาได้ด้วยดี แต่คราวนี้สิ ตื่นเต้นระทึกว่าทุกครั้ง เริ่มจากเดินทางออกจาบ้านที่สตูล ลูกสาวคนโตมีอาการแปลกๆไป จะซึมๆ จนในที่สุดเค้าก้ออาเจียน (ปกติจะพูดเจื้อยแจ้วตลอดทางนะ) เราก็แวะล้างหน้าล้างตาเขา แล้วก็ให้เด็กๆนั่งด้านหลังกัน แม่เองก้อคอยดูแลเด็กๆด้านหลัง ด้านหน้าจะมีคุณพ่อเป็นคนขับ และพี่สาว คุณแม่กำลังง่วนๆกับลูกด้านหลัง เงยหน้าขึ้นมาอีกทีเห็นวัวหันหน้ามาดูเราอยู่ด้านหน้ารถ เสียงชนดังปั้ง ฝากระโปรงรถเปิดบังเหตุการณ์ทั้งหมดไม่เห็นอะไรอีกเลย ปราศจากเสียงกรี๊ดภายในรถ ไม่มีเสียงอะไรยกเว้น ลูกชายร้องออกมานิดนึงเพราะเค้าตกลงมาจากเก้าอี้ แต่รถไม่กระแทกมากนะคะ ไม่มีใครเป็นอะไร แฟนบอกว่าต้องดับเครื่อง แล้วลงจากรถไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น ภาพที่เห็นคือหน้ารถพังยับเยินเลย หม้อน้ำแตก ชิ้นส่วนรถกระจัดกระจายเต็มถนนไปหมด ป้ายทะเบียนรถหล่นอยู่ไกลมาก แฟนต้องเดินไปหยิบป้ายทะเบียนมา รถที่วิ่งผ่านไปผ่านมาเหยียบชิ้นส่วนรถกระจัดกระจายเสียงดังไปทั่วถนน พอมองไปอีกฝั่งเห็นวัวไปนอนอยู่ ไม่แน่ใจว่าไปอยู่ด้านนั้นจากการกระเด็นไป หรือวิ่งไปนอนอยู่ตรงนั้น ชาวบ้านแห่แหนกันมาดูเต็มไปหมด ไม่มีใครรับว่าเป็นเจ้าของวัว เราก้อให้คนแถวนั้นเอาวัวไปฆ่าเสีย แต่ไม่มีใครฆ่าเป็น ก้อปล่อยให้นอนอยู่แบบนั้น โทรแจ้งตำรวจ โทรแจ้งประกัน สัก 20 นาที ตำรวจมาที่เกิดเหตุ คุยกับทางตำรวจสักพัก ตำรวจไปดูวัวว่าเป็นยังไงบ้าง โอ้ น่าสงสารเจ้าวัวสิ้นชีพไปแล้ว ตายไปเรียบร้อย คราวนี้ก้อเสร็จคุณตำรวจเลย ก้อจัดการลากวัวขึ้นตำรวจไปเลย ตอนที่ตำรวจลากวัวขึ้นรถนี่แหละพวกเราเพิ่งจะเห็นกันว่าวัวหนะท้องอยู่ น่าสงสารเป็นที่สุด แต่พวกเราก้อไม่สามรถบังคับเหตุการณ์ไม่ให้เกิดขึ้นได้ ขอโทษด้วยนะเจ้าวัวน้อย

ส่วนเราก้อรอประกันต่อไป คุณตำรวจเลยถ่ายรูปเก็บหลักฐานเสร็จก้อเลื่อนรถมาไว้ไหล่ทางจะได้ไม่กีดขวางการจราจร คราวนี้ก้อรอประกัน โอ้ นานมากกว่าประกันจะมา โชคดีแถวนั้นมีเพิงให้พักพิง แล้วก็ชาวบ้านก้อใจดีมานั่งคุยหาน้ำให้ทาน อาศัยเข้าห้องน้ำบ้านเค้า ฝนตกด้วยอากาศไม่ร้อน พอประกันมาก้อจัดการลากรถไปโรงพักแล้วก้อไปอู่ ส่วนครอบครัวเราก้อมีญาติใจดีมารับกลับภูเก็ต

เหุตเกิด ณ คลองแรด คลองพน กระบี่ วันที่ 17 พ.ย. 53 เวลาประมาณก่อนเที่ยง


Thursday, October 21, 2010

หัดกุหลาบ หรือ ส่าไข้


มีประสบการณ์ตรงจากการที่ลูกชายคนเล็ก ณ ตอนที่ไม่สบายนี่ก้อ 11 เดือนกว่าจะขวบนึงพอดีเลย อาการเริ่มแรก มีไข้ตัวร้อนอยู่ก่อน 2 วัน ก้อเช็ดตัวเรื่อยๆเวลามีไข้ ทานยาแก้ไข้ร่วม ไปพบหมอคลิกนิกเด็กหมอดูอาการไม่มีอะไรเลยให้ยาแก้ไข้มาทาน แต่หมอสั่งเอาไว้ว่าหากอีกสองวันยังไม่ดีขึ้นต้องไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาล และหากมีอาเจียนต้องรีบไปโรงพยาบาลเลย (อ่านเจอว่าหากเด็กมีไข้และมีอาเจียนร่วมอาจเป็นอาการของไข้สมองอักเสบ) มาวันที่สามอาการไม่ดีขึ้นมีไข้สูงมาก คุณแม่ตัดสินใจพาลูกไปโรงพยาบาล วัดไข้ได้ 41.7 องศาเซลเซียส พยาบาลต้องรีบเช็ดตัวเป็นการใหญ่ ตกลงต้องนอนโรงพยาบาล อาการไข้ก้อขึ้นๆลงๆอยู่เป็นเวลา 2 วัน ระหว่างนั้นมีท้องเสียร่วมด้วย หมอก้อวินิจฉัยไม่ถูกจากตอนแรกแจ้งว่าติดเชื้อแบคทีเรีย คุณหมอเห็นอาการไม่ดีขึ้นเลยคิดว่าไทฟอยหรือเปล่า ลูกชายได้ยาฆ่าเชื้อไป 2 ขนานก้อไม่ดีขึ้น จนวันที่ 3 เริ่มมีผื่นสีแดงขึ้นตามลำตัวแขน หน้าอก และใบหน้า หมอเลยสรุปได้ว่า ลูกชายเป็น หัดกุหลาบ ซึ่งหัดจะมาออกอาการตอนสุดท้าย ตอนที่ไข้ลดแล้ว หลังจากหัดออกมาแล้วลูกชายก้อดีขึ้นไม่มีไข้แล้วคะ ใจหายใจคว่ำหมดเลยคะ กลัวไปสารพัด ใครเจอลักษณะแบบนี้ก้อพอจะวินิจฉัยโรคได้คร่าวๆนะคะ

หัด กุหลาบ เป็นโรคที่จัดอยู่ในกลุ่มไข้ออกผื่นชนิดหนึ่ง ซึ่งมักมีไข้จัด และมีผื่นขึ้น เป็นลายเหมือนกลีบกุหลาบครับ สาเหตุเกิดจากกลุ่มเชื้อไวรัส

Thursday, October 14, 2010

เมื่อลูกชายเป็นตาแดง

ถึงฤดูกาลตาแดงอีกแล้ว ตอนนี้ลูกชายคนเล็กกำลังเป็นตาแดงอยู่คะ มีอาการมาประมาณ 3 วันแล้วคะ เมื่อวานซืนพาลูกไปหาหมอ หมอจ่ายยาหยอดตา และยาทานแก้แพ้ ตอนนนี้อาการดีขึ้นแล้ว แต่คุณแม่สิคะมีอาการเคืองตายังงัยชอบกล ไม่แน่ใจว่าอุปทานหรือจะมีอากรจริงๆก้อไม่แน่ใจ แต่ตาแดงเนี่ยคุณแม่เคยเป็น เดือนนี้เลยคะแต่ปีที่ผ่านมา ตอนนั้นท้องเจ้าตัวเล็กอยู่นี่หละคะ ใกล้จะคลอดเต็มที ทรมาณมากๆเพราะจะทานยาก้อไม่ได้ ได้แต่รอให้หายเอง สุดๆเลยคะ ตามบวมเฉ่ง เปิดตาไม่ออกเลย เชื่อแล้วคะว่าการเป็นตาแดงนี่ทรมาณและรำคาญสุดๆเลย อย่าเลยนะ อย่าให้คุณแม่เป็นอีกเลย ดูแลรักษาสุขภาพสายตาช่วงนี้กันดีๆนะคะ ไม่อยากให้ใครเป็นกันเลย ด้วยความเป็นห่วงคะ

Tuesday, September 14, 2010

สอนลูกไม่ให้เป็นเด็กเลี้ยงแกะ

หากคุณอยากให้ลูกพูดความจริง คุณพ่อคุณแม่เองก็ต้องพูดจริง ทำจริง และเป็นตัวอย่างที่ดีให้เขาเห็นเช่นกันครับ ยกตัวอย่างง่ายๆ เช่น วันหนึ่งคุณพ่อกำลังนั่งเล่นอยู่กับลูก คุณแม่เดินมาบอกว่า เพื่อนๆ โทรมาชวนออกไปสังสรรค์ จะบอกว่ายังไงดี คุณพ่อยิ้ม แล้วตอบว่า “บอกไปว่าพ่อหลับอยู่ ตอนเย็นต้องไปเยี่ยมคุณย่า คงไปไม่ได้” ซึ่งธรรมชาติเด็กจะ เรียนรู้อยู่ตลอดเวลา โดยเริ่มจากบุคคลในครอบครัว และจะยึดตามสิ่งเหล่านั้นตลอดมา

ดังนั้น การหันมาพูดความจริง โดยเริ่มจากการอธิบายให้ลูกรู้ว่า ความจริงคือสิ่งที่ถูกต้อง แล้วจึงปฏิบัติเป็นตัวอย่าง เช่น ครั้งต่อไป คุณพ่อก็บอกเพื่อนๆ ไปเลยว่า “วันนี้ไม่สะดวก อยากอยู่บ้านเล่นกับลูก เอาไว้วันหน้าก็แล้วกันนะ” นี่ คือทางออกที่ดีที่สุด และยังทำให้ลูกเห็นอีกด้วยว่าเราให้ความสำคัญกับเขาเป็นอันดับแรก

พูดจริง ทำจริง พึ่งพิงได้ เพราะคุณเปรียบเสมือนไอดอลของลูก เมื่อลูกรู้สึกว่าสิ่งที่คุณทำเป็นสิ่งที่ถูกต้อง ลูกก็จะเลียนแบบพฤติกรรมตามไอดอลของเขา ในที่สุด แล้วบ้านของคุณก็จะไม่มีเด็กเลี้ยงแกะอีกต่อไป

ขอบคุณ นิตยาสาร รักลูก

Monday, August 30, 2010

ไซนัสในเด็ก

มารู้จักไซนัสในเด็กกันคะ

“ไซนัส” เป็นโพรงอากาศที่อยู่ภายในกะโหลกศีรษะส่วนใบหน้า มีทั้งหมด 4 คู่ คู่แรกอยู่บริเวณโหนกแก้ม คู่ที่สองอยู่บริเวณหัวคิ้วระหว่างลูกตา คู่ที่สามอยู่บริเวณหน้าผาก และคู่สุดท้ายอยู่บริเวณกลางกะโหลกศีรษะ โพรงไซนัสทำให้กะโหลกศีรษะน้ำหนักเบา ช่วยปรับอุณหภูมิและความชื้นของอากาศก่อนเข้าสู่ปอด และยังช่วยให้เกิดความก้องกังวานของเสียงอีกด้วย

ภาย ในโพรงไซนัสประกอบไปด้วยเยื่อบุ ขนกำจัดสิ่งแปลกปลอม และมีการผลิตมูกที่มีแอนติบอดีช่วยกันสิ่งสกปรก รวมทั้งเชื้อโรคที่เข้ามาในไซนัส ไม่ให้ลุกลามเข้าไปในเยื่อบุโพรงไซนัส ปกติโพรงไซนัสจะมีรูเปิดติดต่อโดยตรงกับโพรงจมูก ขนกำจัดสิ่งแปลกปลอมจะทำหน้าที่ขับมูกภายในไซนัสออกสู่โพรงจมูก เมื่อใดก็ตามที่มีการอุดตันของรูเปิดดังกล่าว ก็จะทำให้เกิดการคั่งค้างของมูกภายในโพรงไซนัส ซึ่งเป็นภาวะที่เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของเชื้อโรค จึงทำให้เกิดการอักเสบของไซนัสตามมา

ในเด็กเล็กๆ ถ้ามีการอักเสบของไซนัส มักเป็นไซนัสบริเวณโหนกแก้มและหัวคิ้วระหว่างลูกตา เนื่องจากไซนัสที่เหลือยังเจริญไม่เต็มที

Tuesday, August 24, 2010

น้ำฝน

ตอนนี้อยู่ในช่วงฤดูฝนแล้ว น้ำฝนโปรยปรายมาไม่ขาดสาย ตอนเช้าแทบไม่อยากลุกขึ้นไปทำงาน ส่วนเด็กๆก้อนอนหลับกันสบาย ดูท่าไม่มีใครอยากลุกขึ้นกันเลย ลูกคนโตต้องไปโรงเรียนก้อต้องคอยปลุกให้มาอาบน้ำไม่อย่างนั้นไปโรงเรียนสายแน่ๆ ฝนกตกทีไรรถติดทุกที ส่วนคนเล็กยิ่งแล้วใหญ่ น่าสงสารเค้าจริงๆ เค้าไม่ต้องไปโรงเรียนแต่ก้อต้องอกจากบ้านพร้อมพี่คนโตด้วย เพราะคุณแม่ต้องไปส่งบ้านพี่เลี้ยงพร้อมไปส่งพี่สาวไปโรงเรียน เสร็จแล้วคุณแม่ก้อเลยไปทำงานเลย คุณแม่ยุคใหม่ก้อแบบนี้นะคะ เร่งรีบงานบ้าน จัดแจงลูกๆแล้วตัวเองก้อต้องรีบไปทำงานอีก จริงๆแล้วจะพูดถึงโรคแพ้นำ้ฝนนะคะเนี่ย คือว่าคุณแม่จะมีปัญหาโดนน้ำฝนไม่ได้ โดนทีไรเป็นหวัดทุกครั้งเลย เคยถามหมอ หมอบอกว่าเป็นโรคแพ้น้ำฝน โดนแล้วเป็นหวัดทุกครั้ง ตอนนี้ลูกคนเล็กก้อมีอาการแบบเดียวกัน โดนแล้วจะมีน้ำมูกไหลทุกครั้ง ขนาดไม่ได้โดนมากมายนะคะ แ่ค่โปรยปรายมาโดนตัวเอง แต่เด็กก้อยังดูไม่ได้มากนักว่าใ่ช่หรือเปล่า เพราะกระหม่อมของเค้ายังบางอยู่น้ำฝนอาจจะเข้าไปทางกระหม่อมได้ น้ำฝนเดี๋ยวนี้มีเชื้อโรคปนอยู่เยอะแยะมันไม่สะอาดเหมือนเมื่อก่อนแล้ว ก้อพูดยากนะคะหากเข้ากระหม่อมเค้าไป ดูแลสุขภาพให้แข็งแรง ทานวิตามินซีเยอะๆจะดีที่สุด แล้วก้อหลีกเลี่ยงการโดนน้ำฝนคะ

Friday, August 20, 2010

เลี้ยงลูกอย่างไรไม่ให้ฆ่าตัวตาย

ในยุคสมัยที่อะไรๆก้อเปลี่ยนไป มีสื่อต่างๆเข้ามามีอิทธิพลกับลูกของเรา ทำให้เราต้องคิดมากขึ้นในการเลี้ยงลูก จะดุด่าว่ากล่าวลูกสักครั้งต้องหาวิธีการร้อยแปดพันเก้า จะพูดยังงัยไม่ใ้ห้ลูกน้อยใจ จิปาถะ แล้ววันนี้ไปเจอบทความเรื่องนี้เข้า มานั่งคิดอยู่นานทีเดียวเลย เดี๋ยวนี้มันน่ากลัวจริงๆเลยนะ เลี้ยงลูกอย่างไรไม่ให้ลูกฆ่าตัวตาย สมัยเราทำไมเราไม่เห็นจะคิดแบบนี้เลยนะ ไม่ได้แล้ว ต้องรีบศึกษาว่ามีอะไรบ้าง

คุณสมบัติ 3 ประการที่จำเป็นสำหรับการรับมือกับปัญหานี้คือ

- รู้จักตนเอง มีความภาคภูมิใจในตนเอง (Self Relization) หากเด็กๆ ได้เรียนรู้ว่าตัวเองเป็นใคร รู้ความเป็นมาของตัวเอง ครอบครัวและชุมชน การตระหนักรู้นี้จะกลายเป็นพลังยึดเหนี่ยวจิตใจให้เด็กๆ รักและเห็นคุณค่าในตัวเอง

- มีความอดทน อดกลั้น สู้ปัญหา ล้มแล้วลุกได้ (Resilience) เด็กต้องพร้อมปรับตัวยืดหยุ่นและพลิกแพลง เพื่อเผชิญกับความท้าทายใหม่ๆ อยู่เสมอ รับมือกับความขัดแย้งและความท้าทายใหม่ๆ ด้วยจิตใจที่อดทน และเข้มแข็ง


- มีเพื่อน (Social Network) รู้ว่าตัวเองเป็นสมาชิกคนหนึ่งในสังคม รู้ว่าเมื่อมีปัญหาสามารถคุยกับเพื่อน ปรึกษาเพื่อนได้

หากพ่อแม่สามารถปลูกฝังคุณสมบัติทั้ง 3 อย่างนี้ลงไปในใจของลูก จะช่วยให้ลูกไม่รู้สึกว่าตัวเองไร้ค่า (Worthless) ไม่รู้สึกไร้ความหวัง (Hopeless) หรือรู้สึกว่าไม่มีใครช่วยได้ (Helpless)

Thursday, August 19, 2010

ครอบครัวหากขาดแคลนการเอาใจใส่ดูแลซึ่งกันแล้วย่อมจะทำให้ความรักที่เคยมีต่อกันค่อยๆจืดจางหายลงไป หมั่นเติมเต็มความห่วงใยใส่ใจดูแลซึ่งกันและกันเรื่อยๆนะคะ

Wednesday, August 18, 2010

ชีวิตครอบครัว

เคยมีความสงสัยทุกครั้งที่เห็นหลายๆครบอครัวที่แต่งงานอยู่กินกันมาเป็นสิบๆปีต้องมาแยกจากกัน ไม่เข้าใจว่าสาเหตุอะไรเหลอที่ทำให้เค้าต้องแยกจากกัน ความผูกพันธ์ ลูกน้อยกลอยใจ ไม่สามารถรั้งไว้ได้เลยเหลอ แต่พอมาวันนี้มาเจอกับตัวเลยทำให้เข้าใจว่า การที่คนเราต้องเก็บความรู้สึกอะไรเอาไว้นานๆ สักวันมันก้อคงต้องทนไม่ไหว ต้องมีการระบาย พูดคุย อย่าเก็บเอาไว้ อีกฝ่ายถ้าหากไม่พูดก้อไม่คิดจะรับรู้เลยว่าตัวเองได้ทำในสิ่งที่อีกฝ่ายไม่พอใจ ไม่เข้าใจ มันสะสมๆจนทำให้ฝ่ายที่เป็นผู้รับรับเสียจนล้นแก้วแล้ว เมื่อล้นแล้วจะทำยังงัยหละ ม้ันก้อไหลไปเรื่อยๆ หายไปๆไม่มีประโยชน์อะไรที่จะยั้งหรือเก็บไว้ได้
ปัญหาต่างๆจะคลี่คลายไปได้ก้อด้วยการได้พูดคุยกันบ้าง หาทางแก้ไขปัญหานั้น แล้วทุกอย่างจะมีทางออกที่ดีให้กับครอบครัวคะ

Thursday, July 15, 2010

ความสุขหาได้จากในบ้าน

ตอนนี้ลูกคนเล็กก้อจะครบ 9 เดือนแล้ว เห็นพัฒนาการได้ชัดเจนว่าเด็กผู้ชายจะเร็วกว่าผู้หญิง ตอนนี้ลูกคนเล็กผู้ชาย กำลังหัดเกาะยืน ซึ่งเร็วกว่าลูกคนโตที่เป็นหญิงมาก กล้ามเนื้อของผู้ชายจะแข็งแรงกว่าผู้หญิง แล้วคุณพ่อคุณแม่ก้อจะปวดหัวมากกว่าผู้หญิงอีกด้วย ตอนนี้คุณแม่ก้อกำลังเตรียมพร้อมรับกับสิ่งนั้นอยู่ แต่ก้อแอบมานั่งอมยิ้มในพฤติกรรมของเค้านะคะ ทำให้ลืมเรื่องปวดหัวและงานที่เหนื่อยหนักหนาไปหมดเลย นี่แหละนะคะที่เค้าว่ามีลูกถึงแม้จะเหนื่อยแค่ไหนก้อแลกมาด้วยกับความสุขที่ทำให้เรามีความสุขได้โดยไม่ต้องเอาเงินไปหาซื้อจากที่ไหนเลย เคยมีเพื่อนคนนึงพูดว่า การที่เรามีลูกมันเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่พระเจ้ามอบให้ เราทำงานนอกบ้านเหนื่อยแค่ไหน พอกลับบ้านไปไปเจอหน้าลูกๆแล้วมีความสุข ไม่ต้องไปแสวงหาความสุขนอกบ้านหรือเอาเงินไปซื้อมาเลย – ความสุขหาได้จากในบ้านเรานะคะ -

Friday, July 9, 2010

วิธีเปลี่ยนผ้าอ้อมลูก

เอาวิธีเปลี่ยนผ้าอ้อมลูกในขณะเดินทาง หรือพื้นที่ไม่สะดวกมาฝากกันคะ

เคย ไหมคะ... กำลังช้อปปิ้งอยู่ดีๆ เจ้าตัวดีเริ่มงอแงขึ้นมา ตายแล้ว....ผ้าอ้อมตุงเชียวคงต้องหาที่เปลี่ยนด่วน! แล้วจะเปลี่ยนที่ไหนดี ห้องน้ำอยู่ไหนเนี่ย จะมีโต๊ะเปลี่ยนผ้าอ้อมไหม ไม่ต้องกังวลอีกต่อไปค่ะ Modern Mom มีเทคนิคดีๆ มาไว้ให้คุณแม่รับมือกับสถานการณ์ฉุกเฉินเช่นนี้มาฝากค่ะ

In The Car :

สำหรับครอบครัวไหนที่ชอบเที่ยว ไม่ว่าจะใกล้หรือไกล รถถือเป็นสถานที่เหมาะในการเปลี่ยนผ้าอ้อมให้ลูก

- หากคุณแม่ขับรถเองแล้วมีเหตุที่ต้องเปลี่ยนผ้าอ้อมให้ลูกนั้น ควรจอดรถข้างทางให้เรียบร้อยก่อน แม้ว่าคุณพ่อเป็นคนขับก็ควรจะจอดรถเช่นกันค่ะ เพราะท่าทางเก้ๆ กังๆ ของแม่อาจจะบดบังวิสัยทัศน์ของคุณพ่อได้ เว้นเสียแต่ติดอยู่กลางถนนหาที่หลบไม่ได้คุณแม่ค่อยลุยเลยค่ะ

- เบาะหลังของรถถือเป็นที่ที่เหมาะจะปฏิบัติภารกิจได้ โดยปูผ้ายาง ผ้าพลาสติก ผ้าอ้อม หรือผ้าขนหนู ก่อนจับลูกน้อยเปลี่ยนผ้าอ้อม

- หากคุณแม่ใช้ผ้าอ้อมสำเร็จรูปแบบกางเกง ก็สามารถฉีกด้านข้างทั้ง 2 ข้างโดยแทนการถอดออกมา ลักษณะการถอดเหมือนผ้าอ้อมสำเร็จรูปธรรมดา

- ส่วนการสวมใส่ผ้าอ้อมผืนใหม่ หากใครใช้ผ้าอ้อมสำเร็จรูปธรรมดา ควรติดแถบกาวไว้ข้างหนึ่งก่อนแล้วให้ลูกสวม ค่อยติดอีกข้างหนึ่ง ซึ่งจะช่วยย่นระยะเวลาได้

In Public Restroom :

หลายครั้งหลายหนที่ผ้าอ้อมของเจ้าตัวเล็กตุง ไม่ว่าจะเป็นถ่ายหนัก ถ่ายเบา ก็ต้องรีบจัดการ ไม่งั้นเจ้าตัวดีคงหงุดหงิดและโยเยมากขึ้น แต่เมื่ออยู่นอกบ้าน ห้องน้ำสาธารณะต่างๆ ก็มีหลายแบบ ทั้งที่เพียบพร้อมมีโต๊ะเปลี่ยนผ้าอ้อมลูกเสร็จสรรพ ส่วนใหญ่จะเป็นที่สนามบินและห้างสรรพสินค้าใหญ่ๆ แต่หากที่ไหนไม่มีล่ะคุณแม่จะทำอย่างไรดี

- อันดับแรกเลยก็ต้องหาพื้นที่เรียบๆ ที่เราจะสามารถปูผ้าให้ลูกนอนเปลี่ยนผ้าอ้อมได้ อาจเป็นพื้นที่ข้างอ่างล้างหน้า หรืออาจจะเป็นพื้นห้องน้ำ อย่าลืมตรวจสอบความสะอาดด้วยนะคะ คุณแม่อาจปูผ้าพลาสติกก่อน แล้วค่อยปูผ้าขนหนูตาม

- หากคุณแม่ไม่มั่นใจในความสะอาดมากๆ ก็อาจจะอุ้มเปลี่ยนผ้าอ้อมได้ค่ะ โดยเอาอุปกรณ์ที่ต้องใช้ ทั้งผ้าเปียกใช้แบบกล่องจะได้เปิด-ปิดฝาได้ง่ายไม่ต้องเสียเวลาแกะ ผ้าอ้อมสำเร็จรูป ในสถานการณ์นี้แบบกางเกงจะเหมาะมากค่ะ และคลี่ถุงพลาสติกออกมาเตรียมไว้

- อุ้มลูกมือเดียว อีกมือถอดผ้าอ้อมตัวเก่าออก แล้วหยิบผ้าเปียกขึ้นมาเช็ดก้นลูกให้พอสะอาด ขณะเช็ดก็อุ้มแบบหย่อนก้นหน่อยค่ะจะเช็ดได้สะดวก

In The Open :

ใน จังหวะเวลาที่ธรรมชาติเรียกร้อง หากแต่ไม่มีห้องน้ำอยู่ในระยะสายตาเลย แถมถ้ายังเห็นไกลอีกต่างหาก แล้วบางที่คนก็เยอะ จะไปเปลี่ยนผ้าอ้อมให้ลูกในนั้นก็เกรงว่าจะเสียเวลาคนอื่น และไม่เป็นสัดส่วน สถานการณ์แบบนี้ คุณแม่ต้องตัดสินใจ

- หากอยู่ในห้างฯ แล้วห้องน้ำคนเยอะ อาจจะไปหาที่นั่งหลบมุม หรือหากอยู่ในที่โล่ง อย่างเช่นสวนสาธารณะ ก็อาจจะหาเก้าอี้เหมาะๆ นั่งค่ะ

- ปูผ้ารองเปลี่ยนผ้าอ้อมไว้บนตักคุณแม่ และจับลูกนั่งบนตัก โดยให้ลูกหันข้างเข้าหาตัว แล้วใช้มือหนึ่งประคองลูก กับอีกมือถอดผ้าอ้อมลูก และทำความสะอาด

- หากลูกพอยืนได้แล้ว ก็สามารถให้ลูกยืนเปลี่ยนผ้าอ้อมได้เลยค่ะ

หวังว่าเทคนิคเหล่านี้คงเป็นประโยชน์แก่คุณแม่ บ้าง ส่วนจะเลือกใช้วิธีแบบไหน ก็คงต้องแล้วแต่ตามสไตล์และความถนัดของแต่ละคนนะคะ

Must Have

- ผ้าอ้อมสำเร็จรูป ทุกวันนี้มีแบบกางเกงที่ใส่ง่าย สะดวกในการเปลี่ยนมากขึ้น

- ผ้ารองเปลี่ยนผ้าอ้อม อาจเป็นผ้ายาง ผ้าขนหนู หรือผ้ารองเปลี่ยนผ้าอ้อมที่เป็นแบบใช้แล้วทิ้งก็ได้แล้วแต่ตามสะดวกของแต่ ละคนค่ะ

- Baby Wipe มีไว้สำหรับเช็ดทำความสะอาด

- ถุงพลาสติก ควรมีติดตัวสำหรับใส่ผ้าอ้อมสำเร็จรูปที่ใช้แล้ว

Modern Mom’s Tips

- บางทีเจ้าตัวดีอาจมีงอแงไม่อยู่เฉยๆ อาจมีของเล่นไว้ให้เขาถือ เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจได้

- ผ้าอ้อมสำเร็จรูปแบบกางเกงเหมาะกับการใส่ออกนอกบ้าน เพราะสะดวกในการเปลี่ยน ช่วยคุณแม่ได้มากทีเดียวค่ะ

- สำหรับชุดที่ใส่ออกนอกบ้าน อาจเป็นชุดหมี หรือชุดแบบป้ายทบเพราะช่วยให้ถอดเปลี่ยนผ้าอ้อมง่ายขึ้น

จาก:นิตยสาร Modern Mom

Tuesday, July 6, 2010

คนขายสุนัข และ ลูกสุนัข 7 ตัว

อ่านเรื่องราวที่เพื่อนส่งมาให้แล้วประทับใจ ต้องขอขอบคุณมากๆ และขอบคุณเจ้าของเรื่อง ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา

มีร้านค้าแห่งหนึ่ง ติดประกาศขายลูกสุนัข 7 ตัว
เมื่อรู้ข่าว ก็มีเด็กๆ แวะเวียนเข้ามาเล่น มาชมลูกสุนัขทุกวัน
แต่ ก็ยังไม่มีใครตกลงใจซื้อ
เพราะ เป็นสุนัขพันธุ์ดี มีราคาค่อนข้างแพง


วันหนึ่ง ขณะที่เจ้าของร้านกำลังยุ่งอยู่กับการขายของอื่นๆ ให้แก่ลูกค้าในร้าน
เด็กชายหน้าตาน่าเอ็นดูคน หนึ่ง ก็มากระตุกชายเสื้อเขา
เขา ก้มลงมอง และถามว่ามีอะไรให้ช่วยหรือไม่


เพื่อนของผมบอกว่า ที่ร้านของคุณอามีลูกหมาขาย
ผมอยากเลี้ย งลูกหมาสักตัว
พ่อแม่ก็อนุญาตแล้ว
ขอผมดูลูกหมาของคุณอาหน่อย ได้ไหมครับ?
เด็ก บอกอย่างสุภาพ


อ๋อ ได้สิหนู พวกมันกำลังนอนเล่นอยู่หลังร้านน่ะ
เจ้าของร้านกล่าวอย่างยินดี
แล้ว ผิวปากเรียกสุนักทั้งเจ็ดออกมา

เด็กชายยิ้มร่าเมื่อเห็นลูกสุนัขวิ่งตุ้ยนุ้ยออกมา ทีละตัว
เขา นับ...แต่ก็มีแค่หกตัวเท่านั้น
ไหนว่ามีเจ็ดตัว มีคนซื้อไปตัวหนึ่งแล้วหรือครับ?
เด็กชายถาม


เจ้าของร้านตอบว่า
อ๋อ เปล่าหรอกหนู ยังไม่มีใครซื้อไปเลยสักตัว
เพียง แต่ตัวสุดท้ายขาหลังเขาไม่ดี
มัน ก็เลยต้องคลานออกมา วิ่งมาพร้อมกับพี่ๆ ของมันไม่ได้


สิ้นคำเจ้าของร้าน
ลูก สุนัขตัวที่เจ็ดก็คลานออกมา
ขา หลังทั้งคู่ของมันลีบเหลือนิดเดียว
มันต้องใช้ขาหน้าลากพาร่างกายออกมาจากหลังร้าน


ลูกสุนัขมองมาทางเด็กชายแล้ว ครางงี้ดๆ
เห็น ได้ชัดว่า มันพยายามคลานมาหาเขา
หาง ของมันกระดิกดุ๊กดิ๊กๆ อยู่ตลอดเวลา
มันคลานเข้าไปเลียรองเท้าของเด็กชาย
ท่าทางจะชอบเขามาก


เด็กชายหัวเราะแล้วอุ้มมัน ขึ้นมา ก่อนจะถามเจ้าของร้านว่า หมาตัวนี้ราคาเท่าไรครับ?


ปกติ อาบอกขายอยู่ตัวละสองพันบาทนะ
เจ้าของร้านตอบ


เด็กชายนิ่งอึ้งไป ก่อนจะล้วงกระเป๋าหยิบเงินออกมานับ
เขามีเงินอยู่เพียงสี่ร้อยห้าสิบบาทเท่านั้น


ผมมีเงินไม่พอซื้อหมาตัวนี้
เด็กชายพึมพำอย่างเศร้าใจ

เจ้าของร้านรีบบอกทันทีว่า
โอ๊ะ! หนู ถ้าหนูอยากได้หมาตัวนี้ไปก็เอาไปเถอะ
ไม่ต้องจ่ายเงินหรอก อายกให้หนูฟรีๆ ไปเลย


เด็กชายฟังเจ้าของร้าน แล้วชะงักไป
ก่อน จะถามกลับไปอย่างไม่พอใจว่า

ทำไม ครับ
ทำไม ถึงบอกว่าไม่ต้องจ่ายเงินถ้าจะซื้อหมาตัวนี้?


ก็อย่างที่หนูเห็นอย่างไรล่ะ
ลูกหมาตัวนี้มันติดมาพร้อมๆ พี่ๆ น้องๆ ของมัน
และ อาก็ไม่คิดว่าจะขายมันอยู่แล้ว
เพราะมันพิการ วิ่งก็ไม่ได้ กระโดดก็ไม่ได้
ความจริง อาไม่อยากให้หนูได้ของมีตำหนิอย่างนี้ไปนะ
ลองดูตัวอื่นดีไหม?


เด็กชายเม้มปากแน่นก่อนจะพูดว่า
คุณอาดูอะไรนี่สิครับ

ว่าแล้วเขาก็ดึงขากางเกงทั้ง สองข้างขึ้น

เจ้า ของร้านจึงได้เห็นว่า
ขา ของเด็กชายคนนี้ เล็กลีบ เช่นเดียวกับขาหลังของลูกสุนัข
แต่ที่ทำให้เขายืนอยู่ได้ ก็เพราะมีขาเทียมช่วยพยุงเอาไว้


คุณอาครับ ขาของผมก็ลีบใช้การอะไรไม่ได้เหมือนกัน
ผมเดินช้ากว่าเพื่อนคนอื่นๆ วิงก็ไม่ได้ กระโดดก็ไม่ได้
อย่างนี้ผมก็เป็นคนไร้คุณค่า หรือเปล่าครับ?



เจ้า ของร้านนิ่งอึ้งไป
ความ รู้สึกผิดแล่นปราดเข้าสู่หัวใจของเขา


เด็กชายปล่อยขากางเกงลงแล้วพูดต่อว่า
ผมจะซื้อสุนัขตัวนี้ ในราคาสองพันบาท เท่ากับลูกหมาตัวอื่นๆ
แต่ว่าผมมีเงินไม่พอ
ถ้าผมจะอ้อนวอนคุณอา
ขอผ่อนราคาของลูกหมาตัวนี้
เดือนละหนึ่งร้อยบาททุกเดือน จนครบสอ งพันบาท
คุณอาจะว่าอย่างไรครับ?


เจ้าของร้านน้ำตาไหลริน
ทรุดตัวลงตรงหน้าเด็กชายและ กอดเขาไว้ด้วยความประทับใจ
พลาง กล่าวขอโทษขอโพย ในสิ่งที่ตนได้ทำผิดพลาดไป

เขาบอกว่าไม่ขัดข้อง
ที่ จะให้เด็กชายผ่อนค่าตัวของลูกสุนัขตัวนี้
และกล่าวว่าถ้าสุนัขทุกตัวมีเจ้านายที่จิตใจดีอย่างเด็ก ชาย
พวกมันก็คงจะมีชีวิตที่เป็นสุขอย่างมาก.
............ .........

นิทาน เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
อย่าตัดสินคุณค่า จากรูปลักษณ์ภายนอก

ที่มา : นิทานสีขาว
เล่า โดย ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา

Monday, June 21, 2010

17 ข้อบอกว่าลูกเป็นออทิสติก

"ทราบได้อย่างไรว่าลูกเป็นออทิสติก" ศ.พญ.เพ็ญแข ลิ้มศิลา มีคำตอบมาบอกกันค่ะ ว่าถ้าลูกมีพฤติกรรม ดังต่อไปนี้ก็เข้าข่ายเป็นออทิสติกแล้วล่ะ

1. ดูด นมได้ไม่ดี 2. เงียบเฉยเกินไป 3. ไม่สนใจ ให้ใครกอดรัด 4. ไม่ชอบให้ใครมายุ่ง 5. ไม่สนใจใคร แต่บางรายอาจติดคนมากจนผิดปกติ 6. ไม่สบตา 7. ไม่ แสดงท่าทาง หรือส่งเสียงเรียก 8. ไม่สนใจที่จะให้ใคร อุ้ม 9. ไม่สนองตอบด้านอารมณ์ 10. ไม่ลอก เลียนแบบ 11. ไม่ส่งเสียงไม่อ้อแอ้ 12. ชี้นิ้วไม่เป็น 13. เรียกให้คนอื่นเล่นด้วยไม่เป็น 14. ท่า ทางเฉยเมย ไร้อารมณ์เมื่อถูกชักชวนให้เล่น หน้าจะเรียบเฉยมากหากสังเกตดูดีๆ จะมีแววเศร้า 15. ไม่แสดงอาการดีใจให้เห็นหรือทักทายคนที่เด็กชอบ หรือหากแสดงก็มากเกินไป 16. ผูกพัน กับสิ่งของอย่างใดอย่างหนึ่งซ้ำๆ ถ้าดึงออกจะกรีดร้องอยู่นาน 17. พ่อ แม่หรือคนเลี้ยงดูสังเกตได้ว่าลูกไม่เหมือนเด็กอื่น

ทั้ง หมดนี้เป็นพฤติกรรมที่พ่อแม่ควรเฝ้าสังเกตลูกให้ดี หากพบต้องรีบปรึกษาแพทย์เพื่อหาแนวทางแก้ไขต่อไป และช่วยเหลือให้มีการพัฒนาศักยภาพในด้านต่างๆ ให้ดีขึ้น

ลูกนอนหลับยาก

มาอีกแล้วคะ วันนี้มีปัญหานอนหลับยากของลูกสาวมาเล่าสู่กันฟัง คือว่าลูกสาวเป็นคนนอนหลับยากมาก ตอนแรกมีเพื่อนแนะนำให้หาซื้อโลชั่นกลิ่นลาเวนเดอร์ทาตัวเค้าก่อนนอน เพราะลาเวนเดอร์จะช่วยผ่อนคลายทำให้เค้าหลับง่ายสบายขึ้น หรือไม่ก้อให้ทานนมอุ่นๆก่อนนอน หรืออีกวิธีที่ตอนนี้ใช้ได้ดีกับเค้าอยู่ คือ ล้างตัว แปรงฟัน ทาแป้ง แล้วให้เค้านิ่งสงบบสักพัก อาจจะเล่านิทาน (หากมีเวลา เพราะบางรีบเร่งแทบไม่มีเวลาอ่านให้เค้าฟัง) ให้เค้านอนหลับตา นอนจับมือ ไม่นานเค้าก้อจะหลับคะ เฮ้อ สรรหามาหลายวิธีกว่าจะได้ที่โดน แต่ไม่รู้ว่าอีกวันสองวันเค้าจะดื้อวิธีการนี้อีกหรือเปล่านะคะ ต้องหาวิธีการใหม่ๆกันต่อไป คุณแม่คนเก่ง

Tuesday, June 15, 2010

การบ้านของลูก


อากาศช่วงนี้ทำไมมันร้อนแบบนี้ แต่พอถึงเวลาฝนจะตกก้อตกลงมาดื้อๆไม่บอกไม่กล่าว แต่จะว่าไปเราอยู่ภูเก็ตเนี่ยก้อสบายกว่าทีอื่นเยอะแยะเลย มีแค่สองฤดู ฝนตกกับร้อน แต่ถ้าช่วงไหนร้อนมากๆ ฝนก้อจะโปรยปรายน้ำฝนมาให้ชื่นใจ พูดมาตั้งเยอะแยะไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องที่จะระบายเลย คือจะระบายเรื่องลูกสาวหนะ คือว่าเค้าจะมีปัญหาเรื่องเขียน ตัวหนังสือที่เค้าเขียนยังงัยก้อไม่สวยแล้วก้อกว่าจะเขียนได้ก้อปากเข้าไปเกือบ 2 ชั่วโมง นั่นคือ ช และเลข 2 เค้าจะสับสนเขียน ช กลับกันเอาหัวไว้ด้านในแล้วลากเส้นดานหลังสลับมาไว้ด้านหน้าคล้ายๆ อ อ่าง เราก้อสงสารเค้า แต่ด้วยความอยากให้ลูกเขียนได้ก้อไปดุว่าเค้า รุมว่าเค้าทั้งพ่อและแม่ มานอนคิดทั้งคืนนี่เราทำเกินไปกับเค้าหรือเปล่า เค้าอนุบาล 2 4 ขวบเองจะให้เค้าได้ดั่งใจเรามันไม่ได้ เฮ้อ นี่ขนาดไม่ได้ไปเป็นครูสอนอนุบาลนะ ลูกตัวเองแท้ยังโมโห ดุให้เค้าทำให้ได้ พอรุ่งขึ้นเค้ามีการบ้านมาอีก คราวนี้เค้าพยายามมาก เขียนตัวเองได้ด้วยตัวเอง คุณครูก้อมีการเขียนมาบอกว่าเค้าเขียนตัวอักษรต่างๆด้วยตัวเอง แล้วที่สังเกตได้อีกอย่างคือ เวลานอนเค้าจะเอามือวาดบนอากาศ คิดว่าคงหัดเขียนอยู่ คิดแล้วสงสารลูก เค้าพยายามมากเลยนะ มีความตั้งใจสุดๆ เฮ้อ สงสารลูกจับใจ

Tuesday, June 8, 2010

งานครัวง่ายได้เพราะมีผู้ช่วย


แม่บ้านยุคใหม่ต้องทำงาน เลี้ยงลูก ทำอาหาร เรื่องทำอาหารนี่สิเรื่องใหญ่เพราะจะให้ซื้อทานนอกบ้านก้อเกรงว่าจะไม่ถูกสุขลักษณะ มีสารเจือปน มีผงชูรสเยอะไป จิปาถะเหตุผล เราจึงยอมสละเวลามาทำอาหารทานเองหลังจากเลิกงาน โดยเฉพาะวันหยุดจะมีเมนูมากเป็นพิเศษ การหาผู้ช่วยเพื่อให้การทำอาหารสะดวกรวดเร็วขึ้นจึงเข้ามาเป็นองค์ประกอบสำคัญ คือกำลังจะบอกว่า ได้ไปเจอสิีนค้าตัวนี้ เครื่องบีบน้ำมะนาว ซึ่งทำจากไม้สัก บานพับทำจากทองเหลือง ซึ่งถูกสุขลักษณะไม่เป็นสนิม และไม่มีสารเคมีปนเปื้อน อุดหนุนสินค้าไทย ภูมิปัญญาไทย แล้วลองใช้มาแล้วสะดวก รวดเร็ว ง่ายในการใช้ ลองดูภาพกันนะคะ

แม่บ้านยุคใหม่อย่างเราต้องแบบนี้คะ

Tuesday, May 25, 2010

Time

Time, everybody know it....it is not easy to control time.

We have 24 hours but do you know how to manage time properly. I am the one who want to manage time to be a way that I want and I think all moms need to do it too. Every my day off I have to manage time for cleaning house, wash a cloths, clean the bathroom and toilet, cook food, take care baby and child....before I want to stay home taking care baby and my home but now I change my mind to work outside better. It is not easy to be a good mom and take care baby and child at the same time I can't manage time as I want....Manage time is not easy...

Friday, May 14, 2010

หยุดพฤติกรรมไม่ดีของเด็ก


วันนี้มีบทความเรื่องการระงับยับยั้งไม่ให้ลูกมีินิสัยไม่ดีด้วยวิธีการนุ่มนวลที่คุณแม่ และคุณพ่อต้องศึกษาคะ
คัดลอกบทความดีๆมาจาก มัมมี่พีเดียคะ

1. เจ้านายวัยอนุบาล

ท่าทาง ชี้นิ้วสั่งจะเอาโน่นเอานี่ หากมองในแง่บวกก็ถือเป็นเรื่องดีที่น้องหนูบอกความต้องการของตัวเองได้ ชัดเจน แต่หากปล่อยไปนานๆ อาจจะกลายเป็นเด็กที่ทำอะไรไม่เป็น ดีแต่สั่งคนอื่น ทำให้เพื่อนไม่อยากคบด้วย ฉะนั้นต้องช่วยให้ลูกเรียนรู้ที่จะรักษาเพื่อนหรือมิตรภาพเอาไว้ค่ะ

ช่วยปรับพฤติกรรม

* เป็นแบบอย่างที่ดี เพราะเด็กวัยนี้จะเลียนแบบการใช้ภาษาจากผู้ใหญ่ เช่น เวลาผู้ใหญ่ชอบสั่งเด็กว่า ไปล้างมือก่อนเดี๋ยวนี้นะ เขาก็จะจำมาทำตาม ให้เปลี่ยนมาใช้ประโยคขอร้องหรือชักชวนค่ะ เช่น "ไปล้างมือก่อนดีมั้ยจ๊ะ จะได้กินข้าวพร้อมกัน"

* ให้ ลูกเรียนรู้วิธีเจรจาต่อรองแบบสุภาพแทนคำสั่ง เมื่อบอกให้น้องหนูเก็บของเล่น แต่แกขอต่อรูปจิ๊กซอว์นี้ให้เสร็จก่อน ก็ยืดหยุ่นให้ลูกบ้างนะคะ


2. โกหกพกลม

เด็ก วัยนี้เพิ่งจะเรียนรู้การแยกแยะระหว่างเรื่องจริงและเรื่องจินตนาการมาได้ ไม่นาน เด็กส่วนใหญ่จะไม่เข้าใจหรือรู้สึกผิดว่าพูดโกหกจนกว่าจะเริ่ม 4 ขวบไปแล้ว แต่บางครั้งก็ต้องโกหกเพื่อปกปิดความจริงที่จะทำให้พ่อแม่หน้าหุบหรือเหี่ยว อย่างกะทันหัน

ช่วยปรับพฤติกรรม

* อย่าตกใจหรือถามทำนองประชด เช่น "ช้างที่ไหนมาวิ่งในบ้านชั้นจนแจกันหล่นมาแตกยะ" แต่ควรมองที่ปัญหาและหาทางแก้ตรงจุด เช่น "แจกันของคุณย่าตกลงมาแตก นี่คือเหตุผลว่าต่อไปนี้ เราจะไม่วิ่งเล่นในบ้าน"

* อย่า เรียกลูกว่าเด็กเลี้ยงแกะ หรือเด็กขี้โกหก เพราะแกยังไม่เข้าใจความหมายเปรียบเทียบเชิงอุปมาอุปไมย ซ้ำยังเท่ากับไปติดป้ายให้ลูกเป็นคนอย่างนั้นจริงๆ

* อย่า ยั่วยุให้เกิดการโกหก เคยดูรายการทีวี เขาให้คุณครูถือขนมเค้กไปในชั้นเรียนอนุบาล แล้วครูบอกว่า เดี๋ยวครูไปเอามีดมาแบ่งเค้ก ห้ามใครแอบขโมยกินก่อนนะ ปรากฏว่าหนูๆ เอาแต่จ้องแล้วก็มีวิธีที่จะให้นิ้วเปื้อนเค้ก จะได้แอบลิ้มรส พอครูกลับมา ไม่มีใครยอมรับสักคน แถมช่วยคิดหาข้ออ้างมาชี้แจงเหตุผลเสร็จสรรพค่ะ

* ให้ คำชมลูก เมื่อลูกยอมรับความจริงในสิ่งที่ทำผิด พร้อมทั้งบอกลูกถึงเหตุผลว่าทำไมจึงไม่ควรทำสิ่งนี้ในคราวต่อไป อย่าทำให้ลูกรู้สึกว่าบอกความจริงโดนหนักกว่าโกหก

3. กัด ฟัด ผลัก

เด็ก บางคนอาจจะยังแสดงออกด้านอารมณ์ไม่ชัดเจน หรือไม่รู้จะทำยังไงเมื่อโกรธ โมโห และอารมณ์เสีย จะว่าไปการกัดหรือตีเพื่อนแรงๆ ก็เป็นพฤติกรรมเชิงอำนาจของคนตัวเล็ก ที่เรียกร้องให้คนอื่นสนใจความรู้สึกของตนอย่างได้ผลเชียวค่ะ

ช่วย ปรับพฤติกรรม

* หยุดการกระทำนั้นโดยทันที แล้วแยกเด็กออกจากกัน

* บอกน้องหนูที่เป็นฝ่ายทำร้ายเพื่อนด้วยเสียงหนักแน่นว่า ทำอย่างนั้นไม่ได้นะ เพราะเพื่อนเจ็บ ถ้าหนูโดนกัดหนูก็เจ็บ

* ถ้าคุณคิดว่า Time out ไม่ ได้ผลในกรณีแบบนี้ ให้พาไปทำกิจกรรมอื่น เช่น ดูการ์ตูน เล่นเกม ร้องเพลง เล่านิทาน ที่เกี่ยวกับเพื่อนๆ รักและช่วยเหลือกัน เพื่อให้คลายความว้าวุ่นในใจลงไป แล้วจึงพาไปขอโทษเพื่อน

* สังเกตว่าเด็กจะอารมณ์เสียและมีพฤติกรรมนี้ในช่วงเวลาไหน ขณะทำกิจกรรมอะไร จะได้หาทางป้องกันไม่ให้เกิดซ้ำสองอีก

4. คำที่ไม่น่าฟัง

บาง คำได้ยิน แล้วทำเอาช็อก เช่น "หนูเกลียดแม่" "ไปตายซะ" ความจริงแล้วเขาไม่ได้เกลียดคุณหรอกค่ะ แค่ต้องการระเบิดอารมณ์กับคนใกล้ตัวเพื่อความสะใจ ผู้ใหญ่บางคนก็เคยเป็นค่ะ

ช่วย ปรับพฤติกรรม

* หายใจเข้าลึกๆ ถ้ายิ่งแว้ดใส่ลูก ก็เท่ากับยิ่งเร่งให้ลูกอารมณ์เสียและตอบโต้คุณแรงขึ้น

* อธิบายด้วยน้ำเสียงหนักแน่น จริงจัง แต่ไม่ประชด เช่น "รู้นะว่าหนูอยากเล่นต่อ แต่เราต้องไปแล้ว เดี๋ยวคุณพ่อกับคุณย่ารอกินข้าวเย็น อาทิตย์หน้าค่อยมาใหม่"

* บอกต่อด้วยว่าคุณไม่ชอบที่ลุกทำแบบนี้ เช่น "ทีหลังอย่าพูดแบบนี้อีก แม่เสียใจนะ ถ้าอยากเล่นให้บอกว่าไม่อยากกลับ ลูกต้องพูดเพราะๆ เราไม่พูดคำนี้กับคนในครอบครัวนะ"

* วิธี สุดท้าย คุณพ่ออาจจะเป็นฝ่ายเข้ามาช่วยให้ลูกสงบและอธิบายเหตุผล เสร็จแล้วจะให้ไปขอโทษคุณแม่ค่ะ เช่น น้องเอมขอโทษครับที่ทำให้แม่เสียใจ เรื่อง..... เอมรักแม่ครับ

พฤติกรรม สุดแย่แบบไหน ถ้าไม่อยากให้น้องหนูทำจนชินเป็นนิสัย ผู้ใหญ่ต้องทำตัวอย่างที่ดีให้เห็น และที่สำคัญอย่าลืมจัดการกับอารมณ์ของตัวเราก่อนจะจัดการพฤติกรรมของน้องหนู นะคะ

Thursday, April 29, 2010

หญิงและชาย

ประสบมากับตัวเลยคะ สำหรับความแตกต่างระหว่างหญิง-ชาย เพราะตอนนี้มีลูกสาว 4 ขวบ ลูกชาย 6 เดือน เข้าใจในความแตกต่างเลยคะ

“บอยจะเอาสีชมพู...บอยจะอาว...จะอาว...”

เสียงพ่อหนูน้อยร่ำร้องทุรนทุราย แข่งกับสุ้มเสียงหงุดหงิดของคุณแม่ที่เพียรพยายามอธิบายแกมสั่งสอน

“ไม่ได้...ไม่ได้...ผู้ชายใช้สีชมพูไม่ได้...ไม่ ได้...ไม่ได้...”

ซ้ำซาก ...ยืนยัน ราวกับแผ่นเสียงตกร่อง เพื่อตอกย้ำให้รับรู้และจดจำ


ผู้ชาย...ต้องไม่ใช้สีชมพู

ความพึงพอใจของหนูน้อยในเรื่องเล็กๆ เรื่องหนึ่งกำลังถูกกำหนดด้วยความมุ่งมั่นชัดเจนของผู้เป็นแม่ โดยมีเรื่องราวอีกมากมายที่ยังรอคอยให้ถูกทยอยจัดวางเป็นความคิด ความเชื่อ ความชอบหรือรสนิยมของหนูน้อยภายใต้กรอบของผู้เลี้ยงดูและสังคมอีกอย่างต่อ เนื่อง


นี่ เป็นการสร้างลักษณะนิสัยและการแสดงออกของเด็กชายให้ต่างจากเด็กหญิงมากยิ่ง ขึ้นโดยอาศัยอิทธิพลของการเรียนรู้ ซึ่งเป็นกระบวนการบ่มเพาะจากการเลี้ยงดูและเติบโตเป็นหลัก ทั้งที่คนทั้งสองเพศก็มีอะไรอีกตั้งหลายอย่างที่ แตกต่างกันเองโดยธรรมชาติอยู่แล้ว

เริ่มตั้งแต่หน้าตา เครื่องเพศภายนอกของหนูน้อยที่ไม่เหมือนกัน ส่วนเครื่องเพศภายในก็เป็นแหล่งสรัางความแตกต่างทางฮอร์โมนเพศที่นำไปสู่รูป ลักษณ์และอารมณ์ที่ห่างไกลกันไปยิ่งขึ้นอีกเมื่อเติบโตขึ้น แม้ในช่วงวัยเด็กที่ฮอร์โมนเพศยังไม่เริ่มทำ หน้าที่ หนูน้อยสองเพศก็ยังคงมีรายละเอียดยิบย่อยที่ต่างกันโดยธรรมชาติอยู่พอควร


หนุ่มน้อยของเรา จะมีน้ำหนักและส่วนสูงมากกว่าเด็กหญิง

ไขมันตามเนื้อตัวของทารกเพศชายมีน้อยกว่าและสลาย ไปเร็วกว่าทารกเพศหญิง พร้อมกับที่ทารกชายมีกล้ามเนื้อมากกว่า แล้วยังใช้พละกำลังจากกล้ามเนื้อได้ดีกว่า จนเห็นได้อย่างชัดเจน เมื่ออายุประมาณสี่ห้าขวบ โดยเจ้าพละกำลังมากมายนี่เองที่มีส่วนสำคัญต่อการสร้างความภาคภูมิใจของเด็ก ชาย

นั่นปะไร...หนุ่ม น้อยวัยอนุบาลจึงทำให้คุณครูปวดเศียรเวียนเกล้ามากกว่าสาวน้อยหนุงหนิงตัว กระเปี๊ยกทั้งหลาย
อย่างไรก็ตาม การศึกษาในเรื่องอารมณ์อ่อนโยน เห็นอกเห็นใจและต้องการพึ่งพิง หรือ “ติด” ผู้ใหญ่ที่ตนรักนั้น กลับพบว่าเด็กชายกับเด็กหญิงไม่มีความแตกต่างกัน เพียงแต่ว่าเด็กหญิงจะมีธรรมชาติของการอยากดูแลคนอื่นมากกว่า แสดงออกทางอารมณ์ถึงความห่วงใยได้ชัดเจนกว่า ในขณะที่เด็กผู้ชายออกจะพยายามแสดงตัวเพื่อการ “นำ” ให้ตนเหนือกว่าผู้อื่นมากกว่า

ประมาณว่าเด็กชายมี “อีโก้” จัดกว่าผู้หญิงมาแต่อ้อนแต่ออกเชียวล่ะ แถมยังนิยมแสดงออกถึงอีโก้อย่างก้าวร้าวกว่าทั้งทางร่างกายและวาจา ในทางตรงข้าม เด็กหญิงตัวน้อย ๆ ของเรากลับใช้วิธีการแสดงความก้าวร้าวอย่างเนียน ๆ ประเภทเพิกเฉย ไม่สนใจ หรือไม่ร่วมมือไม่ช่วยเหลือ อุ๊ย! เรียกได้ว่ามีอาการดื้อเงียบ ต่อต้านอย่างเย็นชาแบบนางเอกนิยายน้ำเน่าได้เอง โดยมีธรรมชาติเป็นผู้จัดสรรให้มาพร้อมความเป็นเพศหญิงเลยนะเนี่ย

เมื่อธรรมชาติแบบนี้ถูกการเรียนรู้เสริมแต่งซ้ำ ลงไปอีก ก็ยิ่งทำให้ทั้งสองเพศดูแตกต่างมากมายจนถูกเปรียบเปรยว่ามาจากดาวต่างดวง อย่าแปลกใจที่พ่อเจ้าประคุณเอาแต่โหวกเหวก...นี่แหละอีโก้โดยกำเนิดกำลังแผลง ฤทธิ์ อย่างุนงงที่เจ้าหล่อนเหน็บ แนมเชือดเฉือน..ก็สมองมีศักยภาพด้านภาษาสูงขั้นเทพออกปานนั้น แต่แล้วก็ด้วยอิทธิพลของทั้งธรรมชาติผนวกกับการ เรียนรู้ทางสังคมอีกนั่นแหละที่ทำให้มนุษย์จากดาวต่างดวงมีแรงดึงดูดเข้าหา กัน

ธรรมชาติอีกแล้ว ที่มอบความรักให้มนุษย์ผู้แตกต่างสามารถเปิดใจยอมรับกันและกัน มองเห็นความแตกต่างเป็นปรากฏการณ์น่าตื่นเต้นชวนติดตาม แต่ก็เพราะธรรมชาติอีกเช่นกันที่เมื่อถึงจุดเวลา หนึ่งก็กลับลำ ทำให้มนุษย์ต่างเพศคู่นั้นรู้สึกเบื่อหน่าย หงุดหงิด แปลกแยกต่อความแตกต่างเดียวกันนั้นทั้งที่เคยรู้สึกดีๆมาก่อนในระยะเริ่มต้น

โชค ดีเหลือเกินที่มีมนุษย์ชาญฉลาดหลายคู่รู้จักคิด ...ไม่ปล่อยให้ทางเลี้ยวทางเลือกนี้ดำเนินไปตามยถากรรมที่ธรรมชาติวางไว้เขาและเธอรู้เท่าทันสถานการณ์เพียงพอที่จะให้ โอกาสแก่การเรียนรู้และการปรุงแต่งธรรมชาติอย่างสร้างสรรค์ด้วยสมองได้แสดง ตัวแสดงผลงาน

ความเข้าใจ ความมีสติ ความยืดหยุ่นต่อการเปลี่ยนแปลง การให้อภัย การเห็นอกเห็นใจ ฯลฯ....ล้วนเป็นผลลัพธ์ยิ่งใหญ่จากการเรียนรู้ที่มีคุณค่าเหนืออารมณ์ตาม ธรรมชาติ การเรียนรู้เหล่านี้ทำให้มนุษย์ทั้งสองเพศสามารถประคองชีวิตร่วมกันต่อไปได้ อย่างลึกซึ้งและมั่นคง



ความ จริงของผู้ชาย

ตัวสูงกว่า

น้ำหนัก มากกว่า

มีองค์ประกอบของกล้าม เนื้อในร่างกายมากกว่า

มีพละ กำลังของกล้ามเนื้อมากกว่า

พยายาม เป็นผู้นำมากกว่า

พยายามมาก ขึ้นเมื่อมีการแข่งขัน

เหี่ยว ย่นช้ากว่า แต่มีโรคจากความชรามากว่า



ความจริงของผู้หญิง

มีไขมันมากกว่า

มีเพื่อนกลุ่มเล็กกว่า

เริ่มพูดได้ช้ากว่า แต่เมื่อเริ่มแล้วก็จะพูดได้มากกว่าและใช้พูดได้ซับซ้อนกว่า

มีความพยายามเพราะต้องการตอบสนองความรู้สึกว่าตน “ทำได้”

แก่ง่าย อายุยืนกว่า

ขอบคุณ มัมมี่พีเดีย

Wednesday, April 28, 2010

ลูกร้องกลั้น


ลูกรักอายุไม่กี่เดือน เวลาเห็นลูกแผดเสียงร้องจนงอหาย เหมือนจะหยุดหายใจไปเสียเฉยๆ คนเป็นแม่มือไม้สั่นใจสั่น ไม่รู้ว่าลูกเป็นอะไร จะเจ็บปวดตรงไหนก็ไม่เห็น ..ยิ่งแม่ลุกลี้ลุกลนจับตัวลูกพลิกซ้ายพลิกขวาหาสาเหตุ ลูกยิ่งร้องกลั้นจนหน้าเขียว.. แม่แทบขาดใจ

ไม่ใช่เฉพาะแม่คนใหม่ หรอกที่เจอสถานการณ์อย่างนี้ แม่ลูกสองลูกสามอาจจะจนตรอกเอาง่ายๆ เหมือนกัน ในเมื่อลูกคนแรกเลี้ยงง่ายดาย ร้องก็ร้องตามตำราว่าไว้ คือร้องต่อเมื่อหิว เปียกแฉะ ร้อนหนาว ..แต่เจ้าตัวเล็กนี่สิ ไม่เหมือนคนพี่ ร้องทีงอหาย กลั้นหายใจจนหน้าเขียว ทั้งที่กินก็อิ่มแล้ว เปียกก็ไม่เปียก มดกัดรึก็ไม่มี..


สื่อภาษาด้วยเสียงร้อง

ผู้ มีประสบการณ์ในการดูแลทารกบอกว่า ปกติการร้องของเด็กขวบปีแรกไม่ใช่ร้องอ้อน เรียกร้องความสนใจอย่างที่บางคนเข้าใจ การร้องของเด็กเป็นการสื่อสาร สื่อภาษา.. หนูหิว หนูเปื้อน หนูตกใจกลัว หนูอยากให้แม่มากอด เพราะฉะนั้นถ้าลูกร้อง พ่อแม่ต้องรีบมาตอบสนอง มาหาเขา มาอุ้ม มากอด มาปลอบ ดูสิว่าลูกหิวนม หรือต้องเปลี่ยนผ้าอ้อมไหม

เด็กจะค่อยๆเรียนรู้ ว่าเมื่อเขาต้องการความช่วยเหลือจะมีคนมาหา มารัก มาช่วยเหลือดูแลทำให้เขาสบาย เรียนรู้ว่าเขามีเจ้าของ มีที่พึ่ง ไม่ถูกทิ้งให้อยู่คนเดียว แม้จะมาช้าบ้าง แต่ก็มา เช่นพอลูกร้อง แม่อาจยังล้างขวดนมไม่เสร็จ แต่ส่งเสียงออกไปว่า"เดี๋ยวลูก" ลูกได้ยินเสียงแม่ จะรู้จักคอยเพราะรู้ว่าเดี๋ยวแม่ก็มา..

ตรงนี้ เองทำให้ลูกเริ่มจำแม่ได้ เริ่มผูกพันกับแม่ซึ่งเป็นผู้เลี้ยงดูใกล้ชิดที่สุด และการตอบสนองลูกอย่างนุ่มนวลสม่ำเสมออย่างนี้ตั้งแต่แรกเกิด จะสร้างพื้นฐานทางอารมณ์ที่ดีให้กับลูก ลูกจะเติบโตเป็นเด็กอารมณ์ดี พอ 3-4 เดือนจะเริ่มรู้จักยิ้ม หัวเราะ เล่นกับพ่อแม่ได้



แต่ถ้า พ่อแม่บางคนไม่เข้าใจ นึกว่าการที่ลูกร้องแล้วไปอุ้มไปโอ๋ปลอบโยนจะทำให้เสียเด็ก เคยตัว หรือติดมือ ปล่อยให้ลูกร้องหรือรอนานๆ ลูกจะยิ่งอารมณ์เสีย ร้องไห้งอแง กลายเป็นเด็กขี้โมโห ฉุนเฉียวไป

ลักษณะ อารมณ์ที่แตกต่าง

ลักษณะการร้องของเด็ก ยังขึ้นอยู่กับพื้นฐานทางอารมณ์ที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิดของเด็กแต่ละคนด้วย บางคนอาจจะขี้โมโห อากาศร้อนหน่อย รอหน่อยไม่ได้ หรือยังไม่ทันจะลืมตาก็แผดเสียงร้องก่อน ผิดกับเด็กบางคนนอนยิ้ม นอนเล่นเฉยๆได้ทั้งวัน เลี้ยงง่ายเลี้ยงดาย กินนมเสร็จก็หลับปุ๋ย ตื่นขึ้นมานอนมองโมบายล์ไป ไม่ยุ่งยากอะไร ฉี่เปียกก็ไม่ร้อง..

เพราะ ฉะนั้นเด็กที่ชอบร้องแผดเสียงดัง บางทีร้องงอหาย ร้องกลั้นหายใจ จนหน้าเขียวตัวเขียว ส่วนใหญ่เป็นเพราะพื้นอารมณ์ เป็นเด็กอารมณ์ร้อน อารมณ์รุนแรงมาตั้งแต่เกิด

นึกถึงคำพูดที่ว่าเด็กเหมือนผ้าขาวที่ เราสามารถแต่งแต้มหรือเลี้ยงดูให้เป็นอย่างไรก็ได้ ก็ไม่ผิด แต่ว่าผ้าขาวแต่ละผืนเนื้อผ้าอาจไม่เหมือนกัน บางคนเป็นผ้าฝ้าย บางคนเป็นผ้าแพรผ้าไหม ผ้าดิบ.. ถ้าเราจะพัฒนาลูกก็ต้องเข้าใจพื้นฐานอารมณ์ของลูกด้วย เข้าใจว่าเด็กแต่ละมีความแตกต่างกัน

สยบลูกใจร้อน

ถ้า สังเกตได้ว่าลูกมีพื้นฐานอารมณ์เป็นเด็กใจร้อน อารมณ์รุนแรง อย่าปล่อยให้ลูกคอยนาน ชนิดที่ว่าร้องจนตัวเขียวแม่ก็ยังไม่มา ลูกจะติดนิสัยใจร้อนขี้โมโหไปจนโต เพราะร้องแล้วไม่รู้ว่าแม่จะมาหรือไม่มา ฉะนั้นฉันต้องแผดเสียงไว้ก่อน

พ่อแม่ต้องทำให้ลูกค่อยๆใจเย็นลง ค่อยๆรู้จักรอคอย ทำให้ลูกมั่นใจว่าอย่างไรพ่อแม่ก็มาดูแลเอาใจใส่ ปฎิบัติต่อลูกด้วยท่าทีที่อบอุ่นนุ่มนวล มั่นคง และสม่ำเสมอ เจ้าตัวน้อยขี้โมโหจะค่อยๆรู้จักควบคุมตัวเองให้สงบลง

ที่สำคัญตัว พ่อแม่และผู้เลี้ยงดูเด็กนี่ละ ..ใจเย็นหรือเปล่า เด็กที่เกิดมาใจร้อนมักเป็นลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น ได้กรรมพันธุ์มาจากพ่อแม่นี่เอง หรืออาจได้แบบอย่างจากการเห็นหรือรู้สึกกับสิ่งที่พ่อแม่ปฏิบัติต่อเขา พ่อแม่บางรายไม่เข้าใจ พอลูกร้องมากๆ ตัวเองน็อตหลุด โกรธตอบลูก ตะเบ็งเสียงแข่งกับลูก หรือปฏิบัติกับลูกอย่างกระแทกกระทั้น ลูกจะยิ่งร้องตอบ เลียนแบบการแสดงอารมณ์ของพ่อแม่

หรือพ่อแม่ที่ตอบ สนองลูกไม่ถูก ได้ยินเสียงร้องของลูกแล้วเงอะงะมือไม้สั่น ลุกลี้ลุกลน ก็เหมือนกับที่ปล่อยให้ลูกรอคอยนั่นแหละ ลูกจะยิ่งร้องเพราะพ่อแม่ตอบสนองไม่ถูกใจตรงความต้องการสักที

ร้องอย่างนี้อันตรายไหม

พ่อ แม่กลัวนักหนาเวลาลูกร้องกลั้นจนหน้าเขียว..เพราะกลัวลูกจะขาดออกซิเจน กระทบกระเทือนถึงสมอง พาลนึกไปว่าร้องมากๆ จะทำให้ลูกโง่ไหมเนี่ย?

ไม่ เลย ตามสัญชาตญาณของคนเรา เด็กมีศูนย์ควบคุมการหายใจอยู่ที่สมองศูนย์นี้จะตอบสนองเร็วมากถ้ามีอะไร มากระทบ อย่างเช่นก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ เพราะเวลาเราหยุดหายใจ คาร์บอนไดออกไซด์จะคั่ง จะกระตุ้นศูนย์หายใจ ทำให้เด็กหายใจทันที

เด็ก ที่ร้องกลั้นจะกลั้นหายใจอยู่ไม่นาน สักพักจะหายใจแล้วร้องต่อโดยอัตโนมัติจึงไม่ต้องกลัวว่าลูกจะเป็น อันตรายอย่างที่คิด

ไม่ สบายหรือเปล่า

ถ้าลูกเกิดเจ็บปวด ไม่สบาย จะร้องในลักษณะที่แตกต่างไปจากปกติ ถ้าปกติลูกเคยเป็นเด็กอารมณ์ดี ร้องก็ร้องไม่มาก จู่ๆเกิดร้องแผดเสียงจ้า หรือร้องกลั้นหน้าเขียว อาจเจ็บไข้ไม่สบายได้ แต่ก็ต้องมีอาการอย่างอื่นประกอบให้เห็นด้วย

เช่น ถ้าปวดท้อง ลูกก็จะร้องเกร็งแขนขางอ กำหมัดแน่น อาจจะท้องเสีย หรือถ้ามีลมในท้องก็จะท้องป่อง ถ้าจับนั่งเรอสักพักจะหาย หรือถ้าเป็นไข้ วัดปรอทจะเห็นว่าอุณหภูมิขึ้นสูง หน้าแดง ตัวแดง อย่างนี้เป็นต้น

ถ้า หาสาเหตุไม่เจอ อาจพาไปหาหมอตรวจให้แน่ใจ

ขอบคุณ มัีมมี่พีเดีย

Monday, April 26, 2010

สอนลูกอย่างไรดี คำตอบอยู่ที่เซลล์กระจกเงา


เมื่อมีลูก พ่อแม่ทุกคนฝาก ‘ความหวัง’ ไว้ที่ลูกเสมอ หวังอยากให้ลูกได้ดี หวังอยากให้ลูกเป็นที่เชิดหน้าชูตาของ พ่อแม่และวงค์ตระกูล หวังว่าจะได้ฝากผีฝากไข้ยามที่พ่อแม่แก่เฒ่า

นี่ คือความหวัง แต่ความสมหวังคงจะเกิดขึ้นไม่ได้ หากพ่อแม่ไม่ได้ลงทุนลงแรงอะไรเลย ตรงกันข้าม ยิ่งหวังมาก ยิ่งต้องออกแรงมาก ที่น่าเป็นห่วงคือ พ่อแม่หลายต่อหลายคนเข้าใจผิดว่า การลงทุนของพ่อแม่คือการใช้เงิน การจ้าง หรือไหว้วานคนอื่นให้มาทำหน้าที่แทน ให้คนอื่นหรือสิ่งอื่นมาทำในสิ่งที่ตัวเองควรจะทำ สุดท้ายพ่อแม่อาจจะไม่ได้สมหวังตามที่ตั้งความหวังเอาไว้

ใน เมื่อมันเป็นหน้าที่เราก็ต้องยอมรับ จะหลีกเลี่ยงไม่ได้ และความสำคัญของหน้าที่อันนี้ไม่ได้ยิ่งหย่อนน้อยไปกว่าการทำมาหากินของพ่อ แม่ ข้ออ้างที่ว่า ต้องทำมาหากิน ไม่มีเวลาอบรมเลี้ยงดูลูก ผมว่าเราต้องเลิกอ้างกันได้แล้ว หากเรายังหวังว่าเมื่อถึงเวลา ‘ลูก’ จะคือผู้ที่ทำให้ ‘ความหวัง’ ของเราเป็นจริง

เราพบอยู่เสมอว่า เมื่อเวลาเด็กมีปัญหา พ่อแม่จะกล่าวโทษครูที่โรงเรียนว่าไม่ช่วยสอนเรื่องนั้น เรื่องนี้ พอโรงเรียนบอกว่าพ่อแม่ต้องช่วยโรงเรียนด้วย พ่อแม่จะบอกว่าไม่มีเวลา ต้องทำมาหากิน สุดท้ายจึงเรียกร้องให้มีหลักสูตรคุณธรรมขึ้นในโรงเรียน โรงเรียนก็จัดให้ตามคำขอ คุณธรรมจริยธรรมกลายเป็นวิชาขึ้นมา ต้องเรียน ต้องสอบเก็บคะแนน ใครได้คะแนนมากแปลว่ามีคุณธรรมมาก ทั้งๆ ที่คุณธรรมจริยธรรมเป็นเรื่องเกี่ยวข้องกับการใช้ชีวิตประจำวันของคน การปลูกฝังควรจะอยู่ในบริบทของวิถีชีวิตประจำวัน และควรเป็นบทบาทของพ่อแม่

ปรากฏการณ์นี้สะท้อนให้เห็นว่า พ่อแม่ส่วนหนึ่งกำลังลืมบทบาทของตัวเอง และมองข้ามความสำคัญของการเป็น ‘แม่ไม้’ เพื่อให้ ‘ลูกไม้’ ได้ร่วงหล่นอยู่ภายใต้ร่มเงาอันร่มเย็น

เซลล์กระจกเงาคืออะไร มีความสำคัญอะไรต่อความสัมพันธ์ระหว่าง ‘แม่ไม้’ และ ‘ลูกไม้’

คุณอาจเคยเจอเหตุการณ์ที่เห็นคนอื่นหาวแล้วคุณหาวตามโดยอัตโนมัติ คุณอาจเคยฟังเพื่อนสนิทเล่าเรื่องราวความไม่ดีของสามีของเขาให้ฟังด้วยความ โกรธแค้น และน้อยใจ แล้วคุณก็รู้สึกโกรธเกลียดสามีของเพื่อนตามไปด้วย ทั้งๆ ที่เขาก็ไม่เคยทำอะไรให้คุณขุ่นเคืองใจเลย

คุณอาจเคยไปดูเขา สาธิตการทำอาหาร พอกลับถึงบ้านคุณสามารถปรุงอาหารจานนั้นให้สามีและลูกรับประทานได้อย่าง เอร็ดอร่อยโดยที่ไม่ต้องกางตำราเลย ทั้งหมดที่เกิดขึ้นเป็นเพราะ ‘เซลล์กระจกเงา’ ครับ

นักวิทยาศาสตร์พบว่า ในสมองของคนเรามีเซลล์อยู่ชนิดหนึ่ง หน้าที่ของมันคือการทำเลียนแบบท่าทางผู้อื่นที่พบเห็นทั้งโดยตั้งใจ หรือโดยอัตโนมัติ มันทำหน้าที่ ‘อ่าน’ ท่าทีหรือท่าทางของคนอื่นเพื่อให้เราได้ ‘เข้าใจ’ ถึงความรู้สึกและเจตนาที่ซ่อนอยู่ภายใต้ท่าทีและท่าทางนั้นๆ แถมยังบังคับ ควบคุมให้เราปรับท่าทีหรือท่าทางให้สอดคล้องกับ ‘ความเข้าใจ’ ของเราที่มีต่อความในใจ หรือเจตนาของคนผู้นั้นด้วย ด้วยเหตุนี้แหละครับคุณถึงได้หาวตามผู้อื่น โกรธเคืองสามีคนอื่น ทำอาหารได้เพียงแค่ไปดูเขาสาธิตวิธีทำ นักวิทยาศาสตร์ตั้งชื่อเซลล์ชนิดนี้ว่า ‘เซลล์กระจกเงา : Mirror Neuron’

คุณ เคยสงสัยไหมครับว่า ทำไมเด็กเล็กๆ ที่พูดยังไม่ได้หรือพูดยังไม่ค่อยชัด แต่ก็สามารถเข้าใจสิ่งที่พ่อแม่พูดหรือสอนได้ โดยเฉพาะเมื่อเวลาพ่อแม่พูดพร้อมกับแสดงท่าทางให้เห็นด้วย จากเสียงที่เปล่งออกมาประกอบกับท่าทางที่พ่อแม่แสดงออกจะกระตุ้นให้เซลล์ กระจกเงาของเด็กสามารถอ่าน และเข้าใจความหมายหรือเจตนาที่ซ่อนอยู่ภายใต้น้ำเสียง และท่าทางนั้นได้

นี่ คือวิธีการเรียนรู้ที่เด็กเล็กๆ ใช้เพื่อทำความเข้าใจกับสิ่งต่างๆ รอบตัว เป็นวิธีการเรียนรู้ที่สำคัญที่สุดที่ธรรมชาติได้มอบให้ นั่นก็คือ การเรียนรู้ด้วยการเอาอย่าง (Imitative Learning) ซึ่งเป็นการทำงานของเซลล์กระจกเงานั่นเอง การเรียนรู้แบบนี้แหละครับที่ทำให้เกิดภาษาและความเข้าใจในภาษาของเด็ก การเรียนรู้ทั้งสองแบบคือการเรียนรู้ด้วยการเอาอย่าง และการเรียนผ่านทางการสื่อสารด้วยภาษา ซึ่งเป็นเครื่องมือสำคัญในการเรียนรู้ของมนุษย์ไปจนตลอดชีวิต

ใน เมื่อเด็กยังเล็กอยู่ การเรียนรู้โดยการสื่อสารด้วยภาษายังไม่ได้ผลเต็มที่ เพราะความสามารถในการรับ หรือส่งภาษายังไม่มากพอ ดังนั้น การเรียนรู้โดยผ่านทางภาษาจึงยังไม่บังเกิดผลอย่างเต็มที่ เซลล์กระจกเงาจึงเป็นคำตอบที่สำคัญของคำถามที่ว่าจะสอนลูกอย่างไรดี โดยเฉพาะในเด็กเล็กๆ

มาดูกันครับว่าเราจะใช้ทฤษฎีเซลล์กระจกเงา สอนลูกได้อย่างไรบ้าง เพื่อจะให้ลูกสามารถทำให้ ‘ความหวัง’ ที่เราฝากไว้ให้เป็นจริงในอนาคต

หวังอยากให้ลูกเป็นคนดี สิ่งที่เราต้องทำก็คือ
- ทำดีให้ลูกเห็นเป็นแบบอย่าง พาลูกไปกราบคุณตาคุณยาย พาลูกไปทำบุญ
- อย่าทำสิ่งไม่ดีแม้ลูกจะไม่อยู่ เพราะอาจเผลอทำเวลาที่ลูกอยู่ด้วย
- กันลูกออกจากแบบอย่างที่ไม่ดี เพราะเราไม่อยากให้เซลล์กระจกเงาของเขาไปสัมผัสกับแบบอย่างที่ไม่ดี
- ชมเมื่อลูกทำดี

หวังอยาก ให้ลูกรัก (การอ่าน) หนังสือ สิ่งที่เราต้องทำคือ
- อ่านหนังสือให้ลูกเห็นทุกวัน
- เล่านิทานให้ลูกฟังก่อนนอนทุกคืน
- มีหนังสือ (ล่อใจ) ให้ลูกอ่าน (เล่น) ที่บ้าน
- มีกระดาษ ดินสอ สี เอาไว้ขีดเขียน
- พาลูกไปห้องสมุด และร้านหนังสือสัปดาห์ละครั้ง
- ชมเมื่อเห็นลูกอ่าน (เล่น) หนังสือ

หวังอยากให้ลูกเก่งและมีความคิดสร้างสรรค์ สิ่งที่ต้องทำคือ
- พ่อแม่ทำตัวเป็นคนอย่างรู้ให้ลูกเห็น หากลูกตั้งคำถามพาลูกค้นหาคำตอบ
- พ่อแม่พาลูกทำกิจกรรมอ่าน ฟัง ดูให้มาก
- แสดงให้ลูกเห็นว่า ชอบวิธีคิดของลูกมากกว่าคำตอบของลูก
- ชมเมื่อลูกมีวิธีคิดที่แตกต่าง หรือมีวิธีคิดใหม่ๆ


จาก: นิตยสารรักลูก

หนูน้อยท่อน้ำตาตัน

ท่อน้ำตาตัน เคยได้ยินกันบ้างหรือเปล่าคะ เป็นอาการของเด็กแรกคลอดที่น้ำตาไม่สามารถไหลลงไปในท่อได้ น้ำตาจะเอ่ออยู่ในตา หากได้รับเชื้อโรคก้อจะทำให้เกิดเป็นขี้ตาสีเขียว หรือเหลืองเข้ม ลูกชายของเราก้อเป็นอยู่ จนตอนนี้ 6 เดือนแล้วยังมีอากการนั้นอยู่ แต่จากการสังเกต พบว่าเค้าจะมีน้ำตาเอ่อในตาน้อยลงกว่าก่อน แต่ก้อยังไม่สามารถไหลลงในท่อได้หมด เมื่อวานไปพบหมอเด็กอีกครั้ง เพราะครบรอบฉีดวัคซีนพอดี เลยได้รับคำแนะนำจากหมอ ให้เอามือของเรา คลึงที่โคนตา แล้วก้อลากลงมาตามแนวจมูก จะช่วยยกระตุ้นให้ท่อน้ำตาขยายตัวขึ้น แต่หากยังไม่ดีขึ้นคงต้องไปพบ จักษุแพทย์ เพื่อได้รับการรักษาที่ถูกต้องต่อไป คุณพ่อคุณแม่หมั่นสังเกตให้ดีนะคะ แต่โดยปกติเด็กไม่ค่อยเป็นเท่าไหร่คะ เพราะลูกสาวคนโตไม่ได้มีอากรแบบนี้ มาเจอกับลูกชายคนที่สองนี่แหละคะ เราในฐานะพ่อแม่ก้อกังวล จะทำตามคำแนะนำคุณหมอไปสัก 2 อาทิตย์หากไม่ดีขึ้น คงต้องไปพบจักษุแพทย์เพื่อรักษาโดยใช้เครื่องมือหรือยาต่อไปคะ
วิธีการช่วยเบื้องต้น อีกครั้งคะ เอามือของพ่อ หรือ แม่ คลึงที่โคนตาเบาๆแล้วลูบลากลงมาตามแนวจมูกคะ จะช่วยขยายท่อน้ำตาให้ลูกได้คะ

Tuesday, April 20, 2010

แม่ยุคใหม่

ในบริบทของโลกยุคใหม่ สิ่งต่างๆ ไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว หากมองย้อนกลับไปสัก 10 ปี วิถีชีวิต การเคลื่อนไหว หรือการรับรู้เรื่องราวต่างๆ เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง แทบทุกบ้านมีอินเตอร์เน็ตแทบทุกคนมีโทรศัพท์มือถือ สิ่งเหล่านี้ได้เข้าไปเปลี่ยนรูปแบบชีวิต ทำอย่างไรแม่ยุคใหม่จึงจะสามารถรู้ว่าจังหวะไหนต้องทีฟ (-tive) อย่างไร

Conservative VS Creative

แม่ยุคใหม่ต้องรู้ว่าอะไรเป็นเรื่องหลักๆ ที่มีคุณค่า และต้อง Conservative (อนุรักษ์หรือว่าบำรุงรักษาไว้) เช่น สายสัมพันธ์ของคนระหว่างรุ่น ความละเอียดอ่อนของการปฏิบัติต่อกัน การพูดจาของแม่-ลูก หรือสามี-ภรรยา รวมไปถึงการก้าวผ่านความเปลี่ยนแปลงยากๆ ทางเศรษฐกิจไปได้ แม่ก็ต้องมีมุมมองเรื่องของ Financial Conservative เพราะแม่ที่ใช้จ่ายเกินตัวไปตามกระแสบริโภคนิยม จะทำให้ไม่สามารถปรับตัวไปตามการเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจ เพราะฉะนั้นจึงต้องรู้จักมุมมองของทาง Conservative ในเรื่องสำคัญๆ ของชีวิต


แต่ ถ้าแม่เน้นไปในทาง Conservative อย่างเดียว ไม่รู้จัก Creative ก็เหมือนกับเราขาดครึ่งหนึ่งใหญ่ๆ ของชีวิตไปได้เหมือนกัน แม่ต้องสมัยใหม่รู้ว่าอะไรเป็นการเปลี่ยนแปลงใหม่ๆ ที่ส่งผลดีต่อพัฒนาการของลูก เป็นผลดีต่อการพัฒนาตนเอง และแนวคิดอะไรใหม่ๆ ที่ดีต่อการใช้ชีวิตคู่ หรือต่อการคิดเป็นในโลกที่เปลี่ยนแปลงเร็ว เรื่องนี้เป็นเรื่อง Creative ที่แม่ต้องเข้าหาความรู้ความเข้าใจใหม่ๆ เอามาผสมกับส่วนที่เราต้องรักษา ทะนุถนอมหรือ Conservative ไว้

ถ้าทีฟ (-tive) ไม่เป็นจังหวะ

ถ้าแม่ยุคใหม่ทีฟไม่เป็น ก็จะไป Conservative กับเรื่องที่ควรเปิดโอกาส ให้มีการสร้างสรรค์หรือเรียนรู้สิ่งใหม่ก็จะกลัวไปหมด กลัวสื่อการรับรู้ใหม่ๆ กลัวไปหมดรู้สึกไม่ปลอดภัยกับโลกก็ห้ามลูกไปหมดเหมือนกัน แบบนี้เรียกว่าเน้น Conservative มาก

บ้านที่แม่เน้น Conservative มากๆ ทุกอย่างก็จะอยู่ในระเบียบ ไม่ยอมให้ลูกเล่นอย่างมีอิสระ เปื้อนดินเปื้อนทราย ลูกต้องสะอาดของทุกอย่างต้องเข้าที่เข้าทาง ก็จะทำให้ลูกไม่แข็งแรง เพราะสุขภาพที่ดีไม่ได้เกิดจากการไม่มีเชื้อโรค ในมนุษย์เราคนหนึ่งมีเชื้อโรคอยู่ราว 20% มิใช่สะอาดหมดจด 100% ฉะนั้น การที่เด็กไปเล่นดินเล่นทราย เด็กจะสร้างวัคซีนธรรมชาติในตัวเอง เด็กสมัยใหม่จึงเป็นภูมิแพ้เยอะ เพราะแม่ Conservative ด้านสุขอนามัยแบบสุดโต่งเกินไป แม่ต้องปล่อยให้ลูกมีโอกาส Creative ที่จะเล่นเลอะเทอะบ้างบางจังหวะ

ส่วนบางบ้านที่เน้น Creative มาก ของอยู่ตรงไหนก็หาไม่เจอ ชีวิตจะสับสนอลหม่านมาก ทีฟไปในทาง Creative มากเกินไป ครอบครัวที่ Creative มากๆ ทุกคนในบ้านงงไปหมดเพราะมีเรื่องใหม่ๆ ทุกวัน ไม่ว่าจะทำอะไรคนก็สร้างสรรค์กันเกินเหตุ สร้างสรรค์จนไร้ระเบียบ การเอนไปทางใดทางหนึ่งมากเกินไป ก็เท่ากับว่าทีฟไม่เป็นจังหวะ

ชีวิต ต้องการทั้งสองด้าน แต่ต้องรักษาสมดุลของขั้วต่างให้ประสานสัมพันธ์กัน ไม่ใช่ว่าด้านที่เราต้องการอย่างหนึ่งแต่ไม่ต้องการอีกด้าน เพราะทั้งสองด้านมีอยู่แล้วในตัวของเรา แต่เราต้องรักษาดุลยภาพในชีวิตประจำวัน


เทคนิคทีฟ (-tive) ให้เป็น

เราจะทีฟอย่างไรให้มีจังหวะ เทคนิคที่จะทีฟให้เป็น เราต้องรู้ว่าบางเรื่องจะทีฟในจังหวะไหน เราต้องรู้จักตัวเอง รู้จักลูก รู้จักสามี หรือเพื่อนร่วมงาน แล้วจะรู้ว่าจะทีฟจังหวะไหนดี ซึ่งทักษะการทีฟที่แม่ควรมีคือ ความเข้าใจ การตื่นตัว และเรียนรู้


ชีวิตเราต้องการสมดุลทั้ง Conservative และ Creative แม่ก็ต้องรู้ว่าปริมาณของทั้งสองขั้วที่พอดีกับชีวิตเป็นอย่างไร ซึ่งเราแต่ละคนนั้นก็มีส่วนผสมนี้ไม่เท่ากันตามอัตภาพ ถ้าใครที่แม่นยำ รักษาสมดุลระหว่างสองทีฟนี้ได้ ผมเรียกว่าทีฟเป็น


การ ที่แม่ทีฟเป็นช่วยลูกได้เยอะ เพราะแม่ที่มีทักษะในการรู้จังหวะการทีฟ คือคนที่เข้าใจเรื่องกาลเทศะ เข้าใจคนอื่น และเข้าใจเรื่องภาวะอารมณ์ แม่แบบนี้จะเป็นแบบอย่างของลูก สิ่งที่แม่พูดหรือสอนไม่ค่อยมีอิทธิพลต่อลูกมากเท่ากับสิ่งที่แม่เป็น การเป็นแบบอย่างของแม่ คือการสื่อสารที่มีพลังที่สุดยิ่งกว่าการสื่อสารและการสอนทุกรูปแบบ ถ้าแม่เป็นคนเรียน ลูกก็จะได้รับอิทธิพลของการเรียนรู้ด้วย


ทุก วันนี้มีเรื่องวุ่นวายเกิดขึ้นมากมายหลายเรื่อง ทำให้เราสับสนต่อข้อมูล การสื่อสารที่มากเกินไป เราก็ต้องมีบ้างที่จะต้อง Conservative ด้านที่จัดระเบียบร่างกายและจิตใจให้อยู่ในภาวะที่สุขสงบ Conservative จะช่วยให้ชีวิต Creative ได้อย่างเหมาะสม

ขอบคุณ มัมมี่พีเดีย

Monday, April 19, 2010

เรียนรู้เรื่องเวลาผ่านกิจวัตรประจำวันที่เป็น เวลา


คุณแม่สามารถสอนลูกให้เรียนรู้เรื่อง เวลาได้ง่ายๆ โดยการใช้กิจวัตรประจำวันของลูก อาทิ เข้านอน ตื่นนอน รับประทานอาหาร ฯลฯ ตั้งแต่เช้า สาย บ่าย เย็น มาปรับสอนให้ลูกเข้าใจความสำคัญของการทำอะไรให้เป็นเวลา ถ้าทำเป็นประจำทุกวันลูกจะค่อยๆ เข้าใจ โดยไม่ต้องพร่ำสอน เมื่อลองทำตามสมการข้างต้นแล้วล่ะก็ เราอาจได้เด็กที่มีระเบียบวินัยแถมมาอีกคนเลยด้วย

ความแตกต่างของเวลา
คุณ แม่อธิบายถึงความแตกต่างระหว่างกลางวันกับกลางคืน โดยใช้ตัวอย่างง่ายๆ จากการสังเกตสิ่งแวดล้อมรอบตัวลูก เช่น "ตอนกลางวันสว่างและร้อนกว่าตอนกลางคืน" "พระอาทิตย์จะขึ้นตอนกลางวัน ส่วนพระจันทร์ขึ้นตอนกลางคืน" "ตอนเช้าพ่อต้องไปทำงาน ถ้าเย็นแล้วพ่อก็จะกลับบ้าน" เป็นต้น ซึ่งเมื่อเด็กสามารถแยกแยะความต่างของกลางวันกับกลางคืนได้ ก็จะช่วยให้เด็กเข้าใจเรื่องเวลาและเชื่อมโยงกิจวัตรประจำวันต่างๆ ได้ง่ายขึ้น

สอนเรื่อง เข็มนาฬิกา
นาฬิกาเป็นสิ่งประดิษฐ์ที่เป็นตัว ช่วยให้ลูกเข้าใจเรื่องเวลาง่ายขึ้น เช่น "ลูกเข้านอนตอนเข็มสั้นชี้ตรงที่เลข 8 นะ" "ลูกอาบน้ำตอนนาฬิกาชี้ที่เลข 7 นะคะ จะได้ไปโรงเรียนทัน" "เข็มสั้นกับเข็มยาวชี้ไปที่เลข 12 แล้วได้เวลากินข้าวกลางวันแล้วล่ะ" นอกจากนี้ทุกครั้งที่จะเรียกหรือชวนให้ลูกทำอะไร คุณแม่ยังควรระบุเวลาพร้อมกับชี้ไปที่นาฬิกาทุกครั้ง เพื่อให้ลูกเคยชินกับการดูนาฬิกาค่ะ

รู้ลำดับก่อนหลัง
คุณ แม่ยังสามารถเชื่อมโยงลำดับเวลาของวันได้เพื่อให้ลูกเรียนรู้การลำดับ กิจกรรมที่ตัวเองทำก่อนหลัง เช่น "ลูกอาบน้ำแล้วแต่งตัว กินข้าว แล้วถึงได้ไปเล่นกับเพื่อนนะ" ที่สำคัญคือคุณแม่ต้องทำกิจวัตรให้เป็นประจำสม่ำเสมอ เพื่อที่ลูกจะได้จดจำภารกิจและเวลาของตัวเองได้

ข้อดี-เสีย ของเวลา
ชี้ ให้ลูกเห็นถึงความสำคัญของการตรงเวลา และย้ำถึงข้อดีการตื่นเช้าว่าจะทำให้มีเวลาทำสิ่งต่างๆ ได้มากมายในแต่ละวัน และไม่พลาดนัดสำคัญต่างๆ ด้วย "เจ้าสัตว์ตัวน้อยใหญ่ของป่าสายรุ้งตื่นแต่เช้าไปเก็บผลไม้ จึงได้ผลไม้ไว้เก็บกินกันมากมายตลอดทั้งวัน แต่เจ้ากระต่ายน้อยน่ะสิ ตื่นสายและชักช้าโอ้เอ้อยู่ กว่าจะไปเก็บผลไม้ก็ใกล้เที่ยงแล้ว เมื่อไปเก็บผลไม้ก็พบว่าผลไม้หมดแล้ว เจ้ากระต่ายจึงไม่มีอาหารกินในวันนั้น" แล้วบอกเด็กๆ ด้วยนะคะว่า นี่คือผลของการตื่นสาย และไม่รักษาเวลา ส่งผลให้เจ้ากระต่ายน้อยต้องทนหิวไม่มีอาหารกินเพราะตัวเองขี้เกียจนอนตื่น สายนั่นเอง

กำหนด เวลาให้แน่นอน
เราควรกำหนดเวลาในกิจกรรม ต่างๆ ให้แน่นอนด้วยค่ะ เช่น "เวลาเล่นของลูกคือ 2 ชั่วโมงก่อนกินข้าว เข็มยาวจะชี้จากเลข 7 ถึงเลข 9 นะคะ" บอกลูกให้ดูที่เข็มนาฬิกาตอนเริ่มเล่น พอถึงเวลาจริง คุณแม่ก็ควรเก็บของเล่นทันที ลูกจะได้เรียนรู้เรื่องเวลาไปพร้อมๆ กับรู้ว่าเวลาเล่นคือกี่โมง และเลิกเล่นกี่โมง เล่นเสร็จแล้วต้องไปทำอะไรต่อ เป็นการสร้างกติการ่วมกันในครอบครัวอีกด้วย


เวลา > นาฬิกาบอกเวลา

หากคุณพ่อคุณ แม่ละเลยหรือตามใจยอมให้เจ้าหนูตื่น กินข้าวหรือนอนไม่เป็นเวลา เป็นการบ่มเพาะนิสัยเรื่อยเปื่อย ไม่รักษาเวลา ทำตามใจตัวเอง ฝึกลูกทำกิจวัตรประจำวันของตัวเองให้เป็นเวลาจนเคยชิน จะทำให้ลูกรู้โดยอัตโนมัติว่า เวลานี้ควรทำอะไร ไม่ว่าจะเป็นช่วงเปิดเทอม ปิดเทอม หรือวันหยุด ถือเป็นการปูพื้นฐานการสร้างวินัยและความรับผิดชอบต่อหน้าที่ของตัวเองด้วย ค่ะ

เรื่องเวลา ชวนสนุก
Let's play
มาประดิษฐ์นาฬิกาของเล่นกันเถอะ โดยใช้วัสดุและอุปกรณ์ที่หาง่ายในบ้าน เช่นจานกระดาษ ตัดตัวเลขจากปฏิทินมาทำเป็นตัวเลข ให้คล้ายกับนาฬิกาที่แขวนอยู่บนฝาบ้าน ลูกๆ จะได้ลองหมุนเข็มนาฬิกาเล่นได้ แต่ถ้าทำไม่ไหว นาฬิกาที่เป็นของเล่นก็ยังพอมีวางขายอยู่นะคะ

Let's reading
นิทานช่วยให้ลูกเข้า ใจเรื่องเวลามากขึ้นค่ะ ลองเลือกนิทานที่ใช้สอนเรื่องของเวลามาเล่าให้ลูกฟังบ้าง ระหว่างเล่าคุณแม่ยังสามารถหมุนเข็มนาฬิกาให้ลูกเข้าใจมากขึ้น นอกจากนี้แล้วคุณแม่ยังสามารถแต่งนิทานขึ้นมาเองก็ได้ เจ้าหนูจะได้เรียนรู้เรื่องเวลาแล้วยังสนุกสนานกับกิจกรรมที่ได้ทำร่วมกัน

Let's sing a song
ปัจจุบัน ยังมีเพลงสำหรับเด็ก ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับชีวิตประจำวันเพราะๆ มากมายมาเปิดให้ลูกฟังก็ได้ เด็กๆ ก็จะได้เรียนรู้ไปด้วยจากการฟัง หรือจะช่วยกันแต่งเพลงร้องกันเองภายในครอบครัวก็ได้ค่ะ

นอกจากความ รู้และความสนุกสนานที่เด็กๆ จะได้จาก "เวลา" แล้ว สิ่งที่สำคัญอีกอย่างที่คุณพ่อคุณแม่ไม่ควรมองข้ามก็คือการเป็นตัวอย่างของ การเห็น "ค่า" ของเวลาและความ "ตรงต่อเวลา" ที่เด็กจะซึมซับรับจากคุณไปอยู่ตลอดด้วยค่ะ

ขอบคุณ มัมมี่พีเดีย

จับตาลูกก่อนเกิดปัญหาใจ


พ่อแม่เองต้องหมั่นเปิดใจ สังเกตและสัมผัสลูกของเราด้วยใจ


เคล็ดลับที่จะทำให้อ่านบทความนี้แล้วนำไปใช้ได้ อย่างได้ผล ไม่ใช่ได้ความแต่คลุมเครือ คุณพ่อคุณแม่เองต้องหมั่นเปิดใจ สังเกต และสัมผัสเด็กๆ ลูกของเราด้วยใจ เรื่องของใจก็ต้องใช้ใจเข้าจับด้วย ว่างั้นเถอะถ้าทำอย่างนี้ ลูกจะออกสัญญาณมาแบบไหนไม้ไหนก็จับได้หมดไม่หลุด อย่าไปยึดแค่ตามตัวหนังสือเท่านั้น ทำนองเดียวกับว่า รู้ว่าเพลงเพราะก็ด้วยการฟัง ไม่ใช่มองที่ตัวโน้ต (ยกเว้นคนที่เชี่ยวชาญจริงๆ ที่อ่านโน้ตก็มีเสียงเกิดในหัวตามแล้ว) จะว่าไป ถ้าเราตั้งใจเลี้ยงลูกไม่น้อยไปกว่าตั้งใจทำมาหาเงิน แบบที่เราคิดพลิกแพลงให้ได้รายได้เพิ่ม ตลอดเวลา เรื่องนี้คงไม่ยากเกินไปนักที่ว่าต้องเปิดใจก็คือ เราเองต้องรับได้ว่า เด็กทุกคนมีจุดที่สามารถปรับปรุงให้ดีกว่าที่เป็นได้ ไม่มีใครสมบูรณ์แบบ ถ้าเราเองหรือใครเห็นว่าลูกของเราอะไรๆ ก็ดีซะหมดแล้ว อย่าเพิ่งปฏิเสธว่า ลูกฉันจะมีปัญหาได้ยังไง แล้วพานโกรธคนทักที่ ว่าต้องสังเกต ก็คือ เราต้องระแวด ระไวกับความเปลี่ยนแปลงในตัวลูกเรา หมั่นสังเกตตรวจตรา ขนาดรถคุณยังเติมน้ำเติมลม ถ่ายน้ำมันเครื่อง ไม่ปล่อยตามธรรมชาติหรือยถากรรมเกินไป แต่ก็อย่าไวกับทุกอย่างเกินไป จนเว่อร์ การอาศัยพัฒนาการโดยเฉลี่ยของเด็กอย่างที่เคยได้ ยินได้เห็นมาเป็นเกณฑ์ อาจเป็นแนวทางที่เราใช้สังเกตลูกได้ระดับหนึ่ง แต่ก็ต้องสัมผัสลูกด้วยใจด้วย คือสามารถเข้าใจได้ว่า ถ้าเราเป็นเขาในวัยนั้นเราจะรู้สึกอย่างไร ไม่คิดอย่างคนในวัยเราคิด หรือถ้าไม่เข้าใจก็คุยถามเขาดู ขั้นต่อไปก็ลองมาดู ว่า อะไรหนอที่อาจเป็นอุปสรรคทำ ให้ลูกเราเริ่มลำบาก เริ่มมีปัญหาบ้าง เริ่มจากรอบๆ ตัวเด็ก มองครอบครัวของเราเองก่อนว่า อยู่ในช่วงเวลาที่มีการเปลี่ยนแปลงกับครอบครัวบ้างหรือเปล่า ไม่ว่าในแง่ที่เราว่าดี อย่างย้ายบ้านใหม่ มีน้องใหม่ พี่สอบเอ็นทรานซ์ได้ พ่อแม่ได้ไปเที่ยวเมืองนอก หรือไม่ดี อย่างพ่อแม่ทะเลาะกัน เงินทองไม่พอใช้ เลยไปถึงว่ามีสมาชิกในบ้านตาย เจ็บป่วยกะทันหันหรือเรื้อรังขึ้นมาในบ้าน การหย่าร้าง ล้วนแต่มีผลกระทบกับสมาชิกทุกคน รวมทั้งเด็กๆ ด้วยเสมอ ไม่มีคำว่าเรื่องของผู้ใหญ่เด็กไม่ต้องมายุ่งเครียด (เดี๋ยวเด็กจะบอกว่า สอบคะแนนไม่ดีเรื่องของเด็ก ผู้ใหญ่ไม่ต้องมาเครียดบ้าง)สิ่งแวดล้อมรอบตัวเด็กๆ อีกอย่างก็คือ โรงเรียน ซึ่งได้แก่ เรื่องเพื่อนฝูง การเรียน และครู ซึ่งไม่ว่าจุดใดเกิดปัญหาขึ้น ก็อาจส่งผลต่อเด็กได้อย่างมาก


ดังนั้น เมื่อใดก็ตามหากมีสถานการณ์เหล่านี้เกิดขึ้น นอกจากใจเราจะมุ่งแต่ส่งกองหน้าไปรบกับปัญหาแล้ว คงต้องมองลูกๆ ของเราไปพร้อมกันด้วย เพราะบางทีเราจะ เหมือน "ลืม" ทัพหลวงของเราว่าเดินไปด้วยกันไม่ไหว ไม่ทัน หรือทัพหลวงอาจไม่เข้าใจว่า ทัพหน้าทำอะไรกันอยู่บางทีเราอาจไม่ลืม แต่ก็คิดว่าเด็กน่าจะเข้าใจได้เอง หรือพอเด็กเกิดปัญหาการปรับตัวขึ้นแล้ว ไม่ได้เฉลียวใจ กลับคิดว่าเด็กมาสร้างภาระเพิ่มให้เสียอีก อย่างพ่อ แม่ทะเลาะกันบ่อยๆ เด็กๆ กลุ้มใจเริ่มเรียนไม่ดี อยากให้แม่มานั่งติวให้ไม่งั้นไม่ทำงาน แม่ก็จะยิ่งเหนื่อยหงุดหงิด บางทีบ่นว่าลูก หรือส่งลูกไปเรียนพิเศษเสียเลย ลูกก็เลยไปติดเพื่อน หนักเข้าไปอีก อีกเรื่องที่ทำให้เด็กต้องปรับตัวอยู่ตลอดเวลา และบางทีจะเกิดปัญหาได้ก็คือ เด็กเองโตขึ้นทุกวัน ต้องฟันฝ่าตามพัฒนาการทางจิตใจต่างๆ มากมาย ซึ่งไม่ใช่ว่าถึงเวลาเด็กก็เป็นเอง อย่างเช่นเรื่องการรู้และแสดงออกตามเพศของตัว หรือความรับผิดชอบในความคาดหวังจากพ่อแม่ โรงเรียน หรือด้วยตัวเด็กเองก็ตาม ความรู้เรื่องพัฒนาการแบบนี้มีใน หนังสือเยอะแยะไปหมดแล้ว คงช่วยให้คุณพ่อคุณแม่คาดได้ว่า ลูกเราอายุแค่ไหน ต้องการอะไร (นอกเหนือไปจากว่า อายุเงินฝากกี่เดือนแล้วได้ดอกเบี้ยเท่าไร ) อยากให้มองว่า เด็กไม่ได้จงใจส่งสัญญาณเรียกร้องความสนใจให้ใครรู้หรอก ตามปกติ เมื่อเด็กเขาเจอเรื่องยากลำบาก เขาก็จะต่อสู้ไปตามนิสัย ประสบการณ์ที่เคยติดตัวมา ซึ่งโดยเฉลี่ยแล้วก็มักผ่านได้โดยดี (ไม่ต้องเลือกใหม่สามสี่รอบแบบ สว.)


สัญญาณเตือนแบบไหนอันตราย?

สิ่งที่นับว่าเป็นสัญญาณไม่ดีแล้วก็คือ เมื่อลูกเลือกวิธีที่ไม่เข้าท่ามาแก้ปัญหา ยิ่งใช้ก็ยิ่งแย่ หรือหมดมุขไม่รู้จะทำยังไงต่อแล้ว เราถึงได้นับอย่างนั้นเป็นสัญญาณที่ต้องเข้าช่วยมาถึงเรื่องว่า เด็กจะส่งสัญญาณเย้วๆ ให้เราตีความแบบไหนได้บ้างคน ที่เดินมาบอกเองว่า กลุ้มใจก็พอมี แต่ไม่เยอะมาก เพราะบางทีเด็กไม่สบายใจแต่บรรยายไม่ถูก เหมือนบางเพลงเราฟังว่าเพราะ แต่ไม่รู้จะบรรยายยังไงเด็กบางรายก็เกรงใจไม่อยากบอกพ่อแม่ คิดว่าเดี๋ยวก็หายเอง (ก็ทำนองเดียวกับผู้ใหญ่บางรายละครับ )ที่ ร้ายก็คือ เด็กก็เคยพยายามส่งซิกแล้ว แต่พ่อแม่กลับว่าเด็กว่า ไม่น่าคิดมาก ไม่ซื้อความรู้สึกของเด็ก แล้วปิดการเจรจา เด็กก็เลยปิดการขายไม่ลงถ้า จะบอกง่ายที่สุดก็คือ สัญญาณอย่างว่าจะเป็นแบบไหนก็ได้ สัญญาณอาจได้แก่การถดถอย หมายถึงว่า เด็กกลับไปเหมือนเด็กที่เล็กกว่า ไม่สมอายุ เช่นเคยนอนคนเดียวได้ กลับกลัวติดแม่แจ หรือกลับไปปัสสาวะรดที่นอนเหมือนตอน 2-3 ขวบ พูดยานคาง ไม่ชัด กัดเล็บ แบบนี้เราต้องเริ่มสนใจ บางทีเด็กอาจแสดงสัญญาณโดยเหม่อลอย ไม่ยิ้มแย้ม แยกตัว ไม่อยากเสวนากับใคร อย่างนี้พ่อแม่มักไม่พลาด เพราะเห็นได้ชัด

อีกขั้วก็คือ เด็กอาจกลับนิสัยจากที่เคยสงบเรียบร้อย กลายเป็นต่อต้าน ดื้อ ก้าวร้าว มาอาการนี้ พ่อแม่มักหลง ไม่รับสัญญาณ แต่มักเป่าแตรรบใช้อำนาจกำลังปราบกบฏให้ เด็กกลับเป็นเมืองขึ้น ซึ่งมักทำให้เรื่องบานปลาย สัญญาณที่หมอได้เจออยู่เสมอก็คือ เด็กบอกอาการป่วยโน่นนี่อยู่เรื่อย ที่แชมป์ก็คือปวดหัวปวดท้อง (บางรายลามไปปวดก้านคอ ใบหู) โดยที่ไปหาหมอเก่งๆ ตรวจมาเยอะแยะ แล้ว หมอก็ส่ายหน้าหาโรคให้ไม่ได้ พบไม่น้อยว่าเกิดปัญหาในใจขึ้นมาแล้ว อาการอย่างนี้มักมาร่วมกับการที่เด็กจะไม่ยอมไปโรงเรียนคู่กันด้วยสัญญาณ อย่างสุดท้ายที่จะยกตัวอย่างให้ฟังคือ เรื่องของสรีระร่างกายที่เปลี่ยนไป เช่น นอนไม่หลับ หรือนอนมากกว่าปกติ ฝันละเมอมากขึ้น กินอาหารไม่ลงหรือกินมากกว่าปกติ ถ่ายอุจจาระปัสสาวะราดบ่อย หรือไม่ยอมถ่าย กลั้นไว้ให้ผู้ใหญ่ขัดใจเล่น (ซึ่งมักพบว่าเป็นปัญหาในเด็กวัยอนุบาล) ถึงตอนนี้ คงได้ภาพของเด็กที่เริ่มส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือ SOS กับเราแล้ว อย่าลืมว่าเครื่องรับของเราต้องพร้อมเปิดรับอยู่ และพร้อมที่จะเข้าไปรับฟังช่วยเขาด้วย พ่อแม่เอง ถ้าคิดว่าสถานการณ์ช่วงไหนที่เล่าแล้วว่า เสี่ยงต่อการที่ลูกของเราจะปรับตัวยาก ก็ยิ่งต้องเพิ่มความเข้มของการมองหาให้มากขึ้นด้วยจริง อยู่ กระต่ายตื่นตูมจะกลุ้มใจเกินเหตุ แต่เด็กของเราอาจไม่รู้ว่า วิธีแก้ปัญหาของเขาอาจเหมือนกับการไปเขย่าโยกต้นให้มะพร้าวหล่นใส่หัวตัวเอง มากขึ้น ช่วยเขาหาทางที่ถูกแต่ต้นมือดีกว่าครับ

ขอบคุณ มัมมี่พีเดีย

Friday, April 16, 2010

เลี้ยงลูกแบบไหนประหยัด

วิธีเลี้ยงลูกอย่างประหยัดบางทีจะชี้ให้เห็นด้วย ว่า เป็นเรื่องของค่านิยมมากกว่าความจำเป็น ข้าวของเครื่องใช้บางอย่างที่สิ้นเปลืองอาจจะไม่มีคุณค่าเท่าการเลี้ยงลูก แบบธรรมชาติดั้งเดิมที่สมัยปู่ย่าตายายเราเคยทำมาด้วยซ้ำไป

ให้นมแม่
สอบ ถามบรรดาคุณพ่อคุณแม่ว่าเลี้ยงลูกเล็กสิ้นเปลืองกับอะไรมากที่สุด หลายๆ คนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ค่านม ถ้าไม่ได้เลี้ยงลูกด้วยนมแม่ นมแม่ทั้งไม่สิ้นเปลือง สะดวก ไม่ต้องมีอุปกรณ์อะไรมากมายแบบนมผสม และมีคุณค่าที่สุด ไม่ต้องกลัวว่าลูกจะแพ้แบบนมวัว ถ้ากลัวว่าคุณค่าในนมแม่จะไม่เพียงพอเมื่อ 6 เดือนขึ้นไป ก็เพิ่มอาหารเสริมที่มีคุณค่ามากขึ้นตามวัยของลูก อย่างนี้จะช่วยประหยัดกว่าให้ลูกกินนมผสมตั้งแต่แรกเกิดค่ะ


ใช้ ผ้าอ้อมผ้า

ผ้าอ้อมสำเร็จรูปเป็นความสิ้นเปลืองอีก อย่างที่คุณแม่หลายคนเอ่ยถึง มันอาจจะสะดวกสบาย (สำหรับคุณแม่) ไม่ต้องตื่นขึ้นมาเปลี่ยนผ้าอ้อมบ่อยๆ แต่ลูกอาจอับชื้นเป็นผื่นได้ โดยเฉพาะอากาศร้อนๆ แบบบ้านเรา จริงๆ แล้วผ้าอ้อมสำเร็จรูปเหมาะสำหรับใช้ในการเดินทางออกนอกบ้าน คุณแม่บางคนบอกว่าใช้เฉพาะกลางคืน ก็ช่วยให้ประหยัดได้เยอะทีเดียวค่ะ


ใช้ของมือสอง
อย่ารังเกียจเลยค่ะที่จะรับของใช้ต่อจากเพื่อนฝูงหรือญาติสนิท โดยเฉพาะจากคนที่มีลูกคนเดียว เด็กโตเร็วเสื้อผ้า ของใช้บางอย่างใช้ได้แป๊บเดียว จะซื้อใหม่ก็เสียดายเงิน ของใช้ที่ราคาแพง เช่น รถเข็น เตียงนอน car seat การรับช่วงต่อหรือซื้อต่อถือว่าช่วยประหยัดได้มาก


ซื้อของช่วงลดราคา
ห้างสรรพสินค้ามีช่วงเวลาลดสินค้าครั้งใหญ่ในช่วงกลางปีและใกล้สิ้นปี ซึ่งมีสินค้าคุณภาพดีราคาถูก คุณอาจหาซื้อเสื้อผ้าข้าวของใช้ของเด็กในช่วงนั้น แม้จะได้เสื้อผ้าที่ขนาดใหญ่กว่าวัยลูกก็อาจซื้อเก็บไว้ก่อนก็ได้

ซื้อเผื่อโต
เสื้อผ้า ของใช้ของลูกควรซื้อขนาดเผื่อโตไว้สักหน่อย เพราะลูกขวบแรกโตเร็วเหลือเกิน ของใช้บางอย่างอย่างเช่นรถเข็น เก้าอี้ เตียงนอน ควรซื้อที่สามารถดัดแปลง ใช้จนโตได้ แม้ว่าราคาจะแพงสักหน่อย แต่ระยะยาวแล้วคุ้มค่ากว่า

ใคร่ครวญก่อนซื้อ

บางคน ซื้อข้าวของเครื่องใช้ให้ลูกด้วยความรู้สึกว่ามันน่ารักดีอดซื้อไม่ได้ อย่าลืมถามตัวเองทุกครั้งก่อนซื้อว่า มันจำเป็นจริงๆ ไหม เช่น ชามข้าวลายการ์ตูนน่ารักราคา แพง เราอาจใช้ชามที่มีอยู่แล้วก็ได้ หรือเสื้อผ้าไม่จำเป็นต้องซื้อมาก เพราะลูกโตเร็วไม่ทันไรลูกก็จะใส่ไม่ได้ ของเล่นเด็กเช่นโมบายล์บางยี่ห้อราคาแพงมาก เราทำเองน่าจะได้ อย่าตัดสินใจซื้อของจากความน่ารักความสวยงามมาก หรือราคาที่ถูกมาก ควรดูคุณภาพและประโยชน์ใช้สอยว่าคุ้มค่าหรือไม่ดีกว่าค่ะ

เลี้ยงลูกเอง
คุณแม่บาง คนบ่นว่า ออกไปทำงานพอให้ได้ค่านม ค่าพี่เลี้ยงลูกซึ่งเดี๋ยวนี้ที่บอกว่า ผ่านการอบรมการดูแลเด็กมาแล้วเงินเดือนแพงพอๆ กับเงินเดือนคนจบปริญญาตรีใหม่ๆ เลย แถมบางบ้านยังต้องจ้างทั้งพี่เลี้ยงและคนทำงานบ้าน เพราะพี่เลี้ยงเธอเลี้ยงเด็กอย่างเดียว แม้แต่ซักผ้าอ้อมเธอก็ไม่ทำ ลองคิดใคร่ครวญดูใหม่ไหมคะว่า ถ้าเราออกจากงานมา เลี้ยงลูกเองจะคุ้มกว่าไหม ไหนจะไม่สิ้นเปลือง(ทั้งเงินเดือน ค่ากินอยู่) สบายใจไม่ต้อง กังวลว่าลับหลังเราเขาจะเลี้ยงดีไหม ทำอะไรลูกเราหรือเปล่า จะไว้ใจได้หรือเปล่า อีกทั้งเรายังไม่พลาดช่วงเวลามีค่าที่จะได้เห็นความน่ารัก การเติบโตอย่างรวดเร็วของลูกด้วย

คลอด ธรรมชาติ
บางคนตั้งใจผ่าคลอดด้วยเหตุผลอย่างเดียวจริงๆ คือกลัวเจ็บ ทั้งๆ ที่การคลอด ธรรมชาตินั้นปลอดภัยกว่าผ่าคลอดมากนัก มีผลดีต่อทั้งตัวแม่และลูกหลายอย่างด้วยกัน ซ้ำไม่เสียค่าใช้จ่ายมากด้วย และยิ่งคลอดโรงพยาบาลรัฐบาลยิ่งเสียค่าใช้จ่ายน้อยลงไปอีก จนทำให้รู้สึกว่าการมีลูกสักคนไม่ใช่เรื่องสิ้นเปลืองตั้งแต่ต้นทีเดียว

วางแผนครอบครัว

การวาง แผนครอบครัว นอกจากจะทำให้คุณมีเวลาเตรียมตัวให้พร้อมที่จะมีลูกคนแรกแล้ว ยังทำให้สามารถวางแผนว่าจะมีลูกคนต่อไปเมื่อไหร่ได้ด้วย หากคุณวางแผนมีลูกห่างกันสัก 3 ปี คุณสามารถเก็บอุปกรณ์ของใช้ไว้ให้ลูกคนต่อไปได้ เช่น เสื้อผ้า ผ้าอ้อม ขวดนม เตียงนอน รถเข็น การมีลูกคนที่สองที่สามก็จะไม่สิ้นเปลืองสักเท่าไร

ขอบคุณ นิตยสารรักลูก