Tuesday, February 23, 2010

โภชนาการในเด็ก

พ่อแม่มีความคิด กังวล และมีความเชื่อมากมายในเรื่องอาหารการกินของลูกที่เรายังไม่รู้ และไม่เข้าใจ หรือ รู้และเข้าใจอย่างผิดๆ ซึ่งอาจนำไปสู่การปฏิบัติผิดๆ จนก่อให้เกิดผลเสียได้

เราเคยได้ยินได้ฟังความคิด ความเชื่ออะไรบางอย่างเกี่ยวกับอาหารการกินที่บอกต่อๆกันมา บางครั้งความเชื่อที่ว่านี้ก็ถูกบ้างผิดบ้าง เช่น กินน้ำมะพร้าวแล้วลูกจะผิวขาวสวย หรือถ้าเป็นแผลไม่ควรกินไข่ ฯลฯ แล้วความเชื่อไหน หรือคำบอกเล่าไหนที่ถูกต้องล่ะ รศ.ดร. ประไพศรี ศิริจักรวาล รองผู้อำนวยการฝ่ายปฏิบัติการ จากสถาบันวิจัยโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล ศาลายา จะช่วยไขข้อข้องใจนี้ให้กระจ่างค่ะ

ความ เชื่อที่ว่า

กินตับมากจะมีสารพิษสะสมในร่างกายมากตามไปด้วย

ความจริงแล้ว

จริงๆ แล้วตับก็ทำหน้าที่เหมือนกับโรงงานกำจัดของเสีย แต่ถ้าเรากินของเสียเข้าไปมากๆ โรงงานจะกำจัดของเสียไม่ทัน ส่งผลให้ของเสียนั้นๆ เป็นพิษต่อตับ ตรงกันข้ามถ้าของเสียนั้นๆ เข้ามาทีละน้อย ตับของเราก็สามารถกำจัดได้ทัน ดังนั้นของเสียที่ว่าจึงไม่สามารถทำอันตรายกับร่างกายเราได้

อาหารประเภทตับเป็นแหล่งรวมวิตามิน A และธาตุเหล็ก ซึ่งถ้ากินในปริมาณพอเหมาะร่างกายเด็กจะสามารถสะสมแร่ธาตุดังกล่าวได้ ซึ่งนักโภชนาการจะแนะนำให้เด็กกินตับอาทิตย์ละ 1 ครั้งและครั้งหนึ่งประมาณ 1 ช้อนโต๊ะหรือ 3 ชิ้นบางๆ ก็เพียงพอแล้ว (ตับไก่จะมีวิตามิน A ค่อนข้างสูง และเหมาะกับเด็กเล็กๆ เพราะบดง่ายสามารถคลุกไปในข้าวได้เลยค่ะ)
แต่ถ้า เด็กคนไหนมีภาวะโภชนาการดีอยู่แล้ว การกินตับ 2 อาทิตย์ครั้งหนึ่งก็นับว่าเพียงพออีกเหมือนกัน เพราะถ้ากินในปริมาณนี้แล้ว คุณพ่อคุณแม่จะได้ไม่ต้องกังวลเรื่องสารพิษที่อาจสะสมในร่างกายของลูก

ความเชื่อที่ว่า

กินอาหารที่มีน้ำตาลมากๆ เช่น เค้ก ลูกอม ช็อกโกแลตจะทำให้ลูกเป็นโรคสมาธิสั้นได้

ความจริงแล้ว

การกินอาหารที่อุดมไปด้วยน้ำตาล กับการเกิดภาวะสมาธิสั้นเป็นเรื่องที่ศึกษากันมานานประมาณเกือบ 20 ปีแล้ว แต่การศึกษาที่มีมาทั้งหมดจะมีทั้งเห็นผลและไม่เห็นผล และบางการศึกษาก็พบว่า ไม่มีความแตกต่างในพฤติกรรมระหว่างเด็กที่ดื่มเครื่องดื่มผสมน้ำตาล กับเด็กที่ดื่มเครื่องดื่มชนิดไม่เติมน้ำตาล

นอกจากนั้นเมื่อเร็วๆ นี้มีงานศึกษาจากมหาวิทยาลัยในอเมริกา พบว่าถ้าลดปริมาณการกินน้ำตาลในสถานกักกันลง อัตราการทะเลาะวิวาทกันในที่ดังกล่าวกลับลดลงอย่างเห็นได้ชัด จึงมีบทสรุปออกมาว่าน้ำตาลอาจจะมีผลทำให้คนก้าวร้าวมากขึ้น แต่ถึงอย่างนั้น ตอนนี้ก็ยังไม่สามารถสรุปได้อยู่ดีว่าตกลงน้ำตาลมีผลทำให้เด็กเป็นโรคสมาธิ สั้นและมีความก้าวร้าวหรือไม่

อย่างไรก็ดี โดยส่วนตัวแล้วอยากให้คุณพ่อคุณแม่หันไปสนใจเรื่องการกินน้ำตาลกับการเกิด โรคอ้วน และฟันผุเสียมากกว่า เพราะขณะนี้พบว่าเด็กไทยมีเปอร์เซ็นต์ฟันผุสูงมาก ในกลุ่มกุมารแพทย์จึงได้มีการรณรงค์เรื่อง "การลดการบริโภคน้ำตาลในเด็ก" โดยเริ่มจากนม และในเครื่องดื่มต่างๆ ก่อน เพราะการลดน้ำตาลก็เท่ากับการลดความเสี่ยงต่อโรคเบาหวาน โรคอ้วน รวมทั้งฟันผุในเด็ก เพราะฉะนั้นถ้าอยากให้ลูกลดอาหารที่อุดมไปด้วยน้ำตาล ขออย่าคิดว่าเพื่อลดความเสี่ยงที่จะเป็นโรคสมาธิสั้นเท่านั้น แต่อยากให้มองสุขภาพโดยรวมมากกว่าค่ะ

ความ เชื่อที่ว่า

กินซอส มะเขือเทศจิ้มกับขนมขบเคี้ยว หรืออาหารว่างจำพวกไก่ทอด มันฝรั่งทอด หรือกินซอสถั่วเหลืองปรุงรสกับอาหารกินเล่นในปริมาณมากจะเป็นอันตรายกับเด็ก ได้

ความ จริงแล้ว

ในซอส มะเขือเทศจะมีสารแคโรตินอยด์ที่ดีสำหรับสุขภาพเพราะเป็นสารต้านปฏิกิริยา อนุมูลอิสระ (สารที่ป้องกันเซลล์ไม่ให้ถูกโจมตี หรือถูกทำลายโดยอนุมูลอิสระ และชะลอภาวะการเสื่อมของเซลล์ก่อนวัยอันควร) แต่ทั้งซอสมะเขือเทศ และซอสปรุงรสจะมีส่วนผสมที่ไม่เป็นประโยชน์กับร่างกายนั่นก็คือ "โซเดียม” อยู่ค่อนข้างมาก ดังนั้นถ้ากินมากเกินไปอาจเป็นอันตรายได้

ตามหลักโภชนาการแล้ว วันหนึ่งๆ เราไม่ควรกินโซเดียมเกิน 2,400 มิลลิกรัม จึงขอแนะนำให้เด็กกินซอสมะเขือเทศครั้งละประมาณ 1 ช้อนโต๊ะ (1 ช้อนโต๊ะจะมีโซเดียมประมาณ 100 มิลลิกรัม) หรือครั้งละไม่เกิน 1 ซองเล็กๆ เท่านั้น บางคนอาจจะมองว่าการกินซอสมะเขือเทศตามปริมาณที่แนะนำเท่ากับมีโซเดียมอยู่ ประมาณ 100 มิลลิกรัม/ 1 ช้อนโต๊ะเท่านั้น แต่อย่าลืมว่าในมื้ออาหารหนึ่งๆเรามักเติมน้ำปลา หรือเกลือ หรือซอสปรุงรสเข้าไปในอาหารด้วย และในน้ำปลาเองนั้นจะมีปริมาณโซเดียมอยู่ถึง 1,000 มิลลิกรัม/1 ช้อนโต๊ะ และซอสปรุงรสเองก็มีปริมาณโซเดียมอยู่ถึง 1,000 มิลลิกรัม/ 1 ช้อนโต๊ะเช่นเดียวกัน

ถ้าเราลองรวมปริมาณการใช้ซอสปรุงรส น้ำปลา และซอสมะเขือเทศเข้าด้วยกัน ภายในหนึ่งวันรับรองได้ว่า เราและลูกของเราจะกินโซเดียมในปริมาณที่มากเกินกว่ากำหนดมาตรฐานแน่ ซึ่งผลร้ายคงไม่ได้เกิดขึ้นแบบปุบปับหรอกนะคะ แต่จะเป็นอันตรายที่สะสมไปเรื่อยๆ จนท้ายที่สุดอาจทำให้เราและลูกของเรากลายเป็นโรคความดันโลหิตสูง หรือโรคไตได้ เพราะไตต้องทำงานหนักในการขับโซเดียมออกจากร่างกายนั่นเอง

ความ เชื่อที่ว่า

น้ำ สมุนไพรที่ว่ามีประโยชน์กับสุขภาพเรา แต่สำหรับเด็กแล้วจะเป็นโทษมากกว่า

ความ จริงแล้ว

น้ำ สมุนไพร เช่น น้ำขิง น้ำตะไคร้ น้ำกระเจี๊ยบ ฯลฯ ล้วนมีประโยชน์ทั้งกับเด็กและผู้ใหญ่ แต่สิ่งที่จะได้เกินมาก็คือ น้ำตาล ถ้าดื่มน้ำสมุนไพร เช่น น้ำตะไคร้ น้ำมะตูมโดยไม่ใส่ หรือใส่น้ำตาลน้อยที่สุดจะเป็นการดีมาก ไม่เช่นนั้นจะเท่ากับว่าเราหรือลูกของเรากำลังกินน้ำตาลเข้าไปแทนที่จะเป็น น้ำสมุนไพรค่ะ

อย่างเช่นน้ำสมุนไพร 1 แก้ว (ปริมาณ 200 มิลลิลิตร) จะมีน้ำตาล 20 กรัม (ประมาณ 5 ช้อนชา) ซึ่งถือว่าเยอะมาก ถ้าเผอิญลูกเราดื่มน้ำสมุนไพรที่มีน้ำตาล 20 กรัม แต่ดื่มสัก 2 แก้ว นั่นเท่ากับว่าเราให้ลูกกินน้ำตาลเข้าไปแล้ว 40 กรัม หรือน้ำตาลจำนวน 10 ช้อนชา ซึ่งที่จริงแล้ว ลูกไม่ควรกินน้ำตาลเกินวันละ 4 ช้อนชาค่ะ

สรุปว่าหากน้ำสมุนไพรนั้นมีปริมาณน้ำตาลมาก ลูกก็จะได้รับปริมาณน้ำตาลที่สูงมากด้วยเช่นเดียวกัน ซึ่งไม่เป็นผลดีเลย เพราะจะทำให้เกิดทั้งโรคอ้วน โรคฟันผุ และมีความเสี่ยงต่อโรคเบาหวานอย่างที่ได้กล่าวไปแล้ว

ความ เชื่อที่ว่า

เด็ก วัย 3-6 ปีกำลังเป็นวัยเจริญเติบโต ดังนั้นเขาสามารถจะกินอาหารในปริมาณมากเท่าไหร่ก็ได้โดยไม่อ้วน

ความจริงแล้ว

ที่ บอกว่าเด็กวัยนี้กินเท่าไหร่ก็ได้โดยไม่อ้วนนั้นเห็นจะไม่จริง เพราะช่วงที่เด็กกำลังเจริญเติบโต ร่างกายเขาจะแบ่งเซลล์ค่อนข้างมาก และถ้าเกิด FAT CELL ของเขามีจำนวนมาก ต่อไปถ้าเราอยากให้เขาลดน้ำหนัก FAT CELL ของเขาก็แค่เหี่ยวตัวลง ทำให้ลูกดูผอมลง แต่ขณะเดียวกันถ้าลูกของเราเกิดกินอะไรมากๆ ขึ้นมาอีก จำนวน FAT CELL ที่เคยมีอยู่ ก็จะทำให้ลูกกลับมาอ้วนได้เร็วขึ้นค่ะ

เพราะฉะนั้นคุณพ่อคุณแม่ควรระวังลูกไม่ให้อ้วนตั้งแต่เล็กๆ เพราะการจะลดน้ำหนักให้เด็กอ้วนเป็นเรื่องที่ลำบากอยู่พอสมควร ผู้ใหญ่อย่างเราๆอาจจะลดน้ำหนักด้วยการลดปริมาณอาหารและกินผักเพิ่มขึ้น แต่สำหรับเด็กส่วนใหญ่แล้วเขาจะไม่ค่อยชอบกินผักสักเท่าไหร่นัก

เด็กวัยนี้เป็นวัยที่กำลังยืดตัวอาจมองดูเหมือนผอมไป ถ้าน้ำหนักตัวของเขาขึ้นตามเกณฑ์ คุณพ่อคุณแม่ไม่จำเป็นต้องเป็นกังวลอยากให้ลูกอ้วนหรอกค่ะ เพียงแค่ดูแลเรื่องขนมหวาน ขนมขบเคี้ยว อาหารหวาน และน้ำอัดลมไว้ให้ดี อย่าให้เขากินบ่อยและกินมาก ลูกจะได้ไม่เป็นโรคอ้วน

ในกรณีที่ลูกมีน้ำหนักอ้วนเกินอยู่แล้ว การหันมาปรุงอาหารด้วยวิธีนึ่ง ต้ม หรืออบแทนการทอดที่ใช้น้ำมันเยอะๆ ก็จะช่วยให้ลูกสามารถลดน้ำหนักได้ทีละเล็กละน้อย นอกจากนั้นควรสนับสนุนให้ลูกหันมาออกกำลังกายด้วย ซึ่งจะช่วยเผาผลาญพลังงานออกไปอีกทางหนึ่ง แถมยังเป็นการเสริมสร้างพลานามัยให้แข็งแรงด้วย

ได้รู้คำตอบจากนักโภชนาการอย่างนี้แล้ว คงช่วยไขข้อข้องใจต่างๆ ของคุณพ่อคุณแม่ที่เคยมีมา ให้ลดลงไปได้ไม่น้อยเลยใช่ไหมคะ

เกร็ดเล็ก เกร็ดน้อย

"เด็กวัยนี้ควรกินตับอาทิตย์ละ 1 ครั้ง หรือ 2 อาทิตย์ครั้งก็พอ ก็จะได้รับปริมาณแร่ธาตุที่พอเหมาะโดยไม่ต้องกังวลเรื่องการสะสมสารพิษที่ปน เปื้อนมาในตับอีกต่อไป”

"เรื่องการกินน้ำตาลกับการเกิดโรคสมาธิ สั้นยังไม่มีผลสรุปที่แน่ชัด แต่อย่างน้อย เรารู้ว่ากินน้ำตาลมากๆจะทำให้เป็นโรคฟันผุ โรคอ้วน และมีความเสี่ยงต่อโรคเบาหวานในเด็ก"

"วันหนึ่งๆ เราไม่ควรกินโซเดียมเกิน 2,400 มิลลิกรัม จึงขอแนะนำให้เด็กๆ กินซอสมะเขือเทศครั้งละประมาณ 1 ช้อนโต๊ะ หรือครั้งละไม่เกิน 1 ซองเล็กๆ เท่านั้น"

No comments: