Monday, August 24, 2009

หลังคลอดขอให้เหมือนเดิม

The important that have to think after giving birth is how we have to take care ourself back to normal - food, exercise, take care baby etc.

Many things we have to think after....I have Thai version that hope very helpful for mom.


โดย :
น.พ.อานนท์ เรืองอุตมานันท์
ระหว่าง ตั้งครรภ์ คุณแม่ส่วนมากพยายามดูแลตัวเองอย่างดีที่สุด เพื่อให้มีสุขภาพที่ดี และลูกที่ออกมาจะได้สมบูรณ์แข็งแรง แต่หลังคลอดแล้ว คุณแม่มักเทใจไปให้ลูกเสียหมด ลูกกลายเป็นทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตไปเสียแล้ว เลยไม่ค่อยได้มีเวลาดูตัวเอง ... คุณแม่หลังคลอดต้องดูแลตัวเองให้เสมอต้นเสมอปลาย ก่อนคลอดดูแลตัวเองยังไง ก็ควรดูแลตัวเองให้ดีในช่วงหลังคลอดด้วย หากดูแลปฏิบัติตัวได้ดี ก็จะช่วยให้การฟื้นฟูสภาพของร่างกาย สามารถเป็นไปได้อย่างราบรื่น ปราศจากภาวะแทรกซ้อน นอกจากนั้นชีวิตของคุณแม่ระยะหลังคลอดเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมมาก คุณแม่ต้องปรับตัวเพื่อให้สามารถทำหน้าที่ของคุณแม่และภรรยาที่ดีได้ในเวลา เดียวกัน

อะไร..เปลี่ยนไปหลังคลอด * มดลูก เมื่อลูกน้อยคลอดออกมาแล้ว มดลูกที่เคยใหญ่เต็มท้องก็จะหดตัวเล็กลงเหลือเป็นก้อนกลมๆ แข็งๆ ขนาดเท่าลูกส้มโออยู่ที่ท้องน้อย อยู่ประมาณระดับสะดือของคุณแม่พอดี คุณแม่ที่คลอดแล้วยังเหลือไขมันหน้าท้องเยอะๆ อาจจะคลำมดลูกไม่เจอก็ได้ มดลูกที่ว่านี้ก็จะหดเล็กลงทุกๆ วัน เฉลี่ยแล้วจะเล็กลง 12 นิ้วมือต่อวัน แล้วจะเล็กลงจนคลำไม่เจอใน 2 สัปดาห์ และจะเล็กลงจนเท่าขนาดปกติก่อนที่จะตั้งครรภ์ใน 4 สัปดาห์ หลังคลอดใหม่ๆ คุณแม่จะมีอาการปวดมดลูกบ้าง เนื่องจากมดลูกจำเป็นต้องบีบตัวเกร็งไว้ เพื่อไม่ให้เลือดออกมาจากรอยแผลที่รกเคยเกาะติดอยู่ อาการปวดนี้จะคล้ายๆ ปวดประจำเดือน แต่อาจจะปวดมากกว่า และปวดอยู่นาน 2-3 วัน ท้องที่สองจะปวดมดลูกมากกว่าท้องแรก ท้องสามก็ปวดมากกว่าท้องสอง และจะปวดมากขึ้นขณะแม่ให้ลูกกินนมแม่ เนื่องจากเมื่อลูกดูดนมแม่จะทำให้สมองหลั่งฮอร์โมนชนิดหนึ่งออกมา ซึ่งมีฤทธิ์กระตุ้นให้มดลูกมีการหดรัดตัวมากขึ้น

ดังนั้นคุณแม่ที่เลี้ยงลูกด้วยนมแม่ มดลูกก็จะเข้าอู่เร็วกว่า น้ำคาวปลาหมดเร็วกว่าคุณแม่ที่ไม่ได้เลี้ยงลูกด้วยนมแม่
* น้ำคาวปลา ไม่รู้ใครเป็นคนตั้งชื่อนี้นะครับ ดูๆ ไปมันก็เหมือนน้ำคาวของปลาจริงๆ น้ำคาวปลาของคุณแม่หลังคลอด คือเลือดคล้ายประจำเดือนที่ไหลออกมาทางช่องคลอดในระยะหลังคลอด มันจะไหลออกมาจากตำแหน่งที่รกเคยเกาะติดอยู่ โดยน้ำคาวปลาจะเป็นสีแดงสดใน 3 วันแรก หลังจากนั้นก็จะจางลงเรื่อยๆ กลายเป็นสีชมพูเรื่อๆ แล้วจางลงใสเป็นสีฟางใน 10 วัน แล้วก็หมดหายไปในเวลาประมาณ 14-21 วัน สำหรับคุณแม่ที่ผ่าท้องคลอด น้ำคาวปลาก็จะจางลงเร็ว และหมดไปเร็วกว่าปกติ เนื่องจากคุณหมอจะช่วยเช็ดถูทำความสะอาดภายในโพรงมดลูกจนเกลี้ยงแล้วใน ระหว่างการผ่าตัด

* แผลฝีเย็บ ถ้าคุณแม่คลอดเอง ขณะที่หัวของลูกกำลังจะโผล่ออกมาภายนอก คุณหมอก็จะช่วยตัดฝีเย็บ เพื่อขยายปากช่องคลอดให้กว้างขึ้น เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการฉีกขาด และป้องกันไม่ให้เนื้อเยื่อรอบๆ ปากช่องคลอดยืดขยายเกินไป หลังจากคลอดเสร็จแล้ว คุณหมอก็จะเย็บแผลฝีเย็บกลับเข้าที่เหมือนเดิม โดยมากเย็บแผลฝีเย็บด้วยไหมละลาย เพราะไม่ต้องเสียเวลามาตัดไหมอีกรอบ อีกทั้งแผลก็ยังดูดีกว่าอีกด้วย
ที่ต้องระวัง คือแผลฝีเย็บที่ว่าดันมาอยู่ใกล้กับปากทวารหนักพอดี แถวทวารหนักจะมีอุจจาระ ซึ่งมีเชื้อโรคอาศัยอยู่มากมายมหาศาล หากดูแลแผลไม่ดีเกิดเชื้อโรคหลุดรอดเข้ามาที่แผล ก็ทำให้เกิดการอักเสบได้ อักเสบที่อื่นยังทนได้ แต่ถ้ามาอักเสบตรงปากช่องคลอดพอดีนี่ มันทรมานจริงๆ นะจะบอกให้ หลังปัสสาวะหรืออุจจาระ คุณแม่ควรเช็ดทำความสะอาด โดยเช็ดจากด้านหน้าไปหลังเสมอ ห้ามเช็ดขึ้นมาทางช่องคลอดเด็ดขาด เพราะจะทำให้อุจจาระเลอะเข้าแผลได้ แล้วก็ให้เช็ดลงล่างทางเดียว ทีเดียวแล้วทิ้งกระดาษชำระไปเลย อย่าขี้เหนียวเช็ดไปเช็ดมาหลายรอบ เพราะเมื่อเช็ดผ่านไปแล้ว เลอะอุจจาระไปแล้ว หากวนกลับมาเช็ดอีกครั้งเชื้อโรคก็จะเข้าสู่แผลได้ หลังทำความสะอาดแล้วก็ควรซับให้แห้งทุกครั้ง หากมีน้ำคาวปลาออกมามาก ก็ควรเปลี่ยนผ้าอนามัยบ่อยๆ อย่าปล่อยให้แผลเปียกแฉะอับชื้น ซึ่งจะทำให้แผลแยก มีเชื้อโรคสะสมนำไปสู่การติดเชื้อได้ เจ็บแผลฝีเย็บจัง วันแรกหลังคลอด หากมีอาการเจ็บแผล ให้ทานยาพาราเซตตามอล 2 เม็ด จะช่วยบรรเทาปวดได้ การใช้น้ำแข็งช่วยประคบ จะช่วยบรรเทาอาการเจ็บแผลและลดการบวมได้ แต่ถ้าเลยวันแรกไปแล้ว ก็มักจะอบแผลด้วยความร้อนเพื่อช่วยลดอาการบวม

ในรายที่แผลบวมมาก เจ็บมากจนนั่งไม่สะดวก อาจใช้ห่วงยางอันเล็กๆ รองนั่งก็จะรู้สึกสบายขึ้น
อาการเจ็บฝีเย็บมักจะลดน้อยลงภายใน 7 วัน และมักจะหายสนิทภายในเวลา 3 สัปดาห์หลังคลอด * ช่องคลอดและกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน ระหว่างตั้งครรภ์ ผนังช่องคลอดจะเรียบแบน ไม่มีรอยย่นเป็นลอนเหมือนช่วงก่อนตั้งครรภ์ ระยะหลังคลอดช่องคลอดจะคืนรูป มีรอยพับย่นตามธรรมชาติภายใน 3 สัปดาห์ นอกจากนั้นหลังจากผ่านการคลอดไปแล้ว ช่องคลอดก็จะมีการยืดขยายกว้างขึ้นมากกว่าปกติ ก่อนคลอดช่องคลอดจะมีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 2 ซม. แต่ในขณะที่กำลังคลอด ศีรษะของลูกจะทำให้ช่องคลอดยืดขยายกว้างออกถึง 10 ซม. นึกแล้วน่าหวาดเสียว พอคลอดออกไปแล้ว รับรองได้ว่าไม่กว้าง 10 ซม.ไปตลอดแน่ แต่จะไม่หดเล็กลงเท่าเดิม กล้ามเนื้อหูรูดจะยืดหย่อนไปบ้าง แต่คงกว้างประมาณ 3 ซม. โล่งไปหมดเลยล่ะครับ หลังคลอด คุณแม่จึงควรออกกำลังกาย เพื่อฟื้นฟูสภาพช่องคลอดให้กลับสู่สภาพเดิม โดยการ "ขมิบก้น" นั่นเอง ซึ่งควรทำวันละ 20-30 ครั้ง โดยสามารถทำได้ทันทีหลังคลอด หรือเมื่อไม่เจ็บแผลแล้ว คุณแม่ที่เลี้ยงลูกด้วยนมแม่อาจบริหารโดยการนั่งขมิบขณะให้นมก็ได้...เพลิน ดี

ถ้าบริหารกระบังลมอย่างสม่ำเสมอ ช่องคลอดจะกลับมากระชับแข็งแรงเหมือนเดิมได้ภายใน 3 เดือนหลังคลอด หากคุณแม่คนไหนขี้เกียจ ไม่ค่อยได้บริหาร กล้ามเนื้อต่างๆ ก็ไม่เข้าที่เหมือนเดิม จะมีปัญหากระบังลมหย่อน มีปัสสาวะเล็ดเวลาไอหรือจาม บางคนก็มีอาการปวดท้องน้อยเวลายกของหนัก และที่สำคัญคุณสามีก็จะนั่งบ่นทั้งวันทั้งคืนว่ามันไม่เหมือนเดิม มันกลวงๆ โล่งๆ ยังไงชอบกล...เฮ้อ..


* หน้าท้อง การตั้งครรภ์มีผลต่อหน้าท้องสวยๆ ของผู้หญิงมากที่สุด ขนาดของมดลูกที่โตขึ้นเรื่อยๆ จะทำให้ผนังหน้าท้องยืดขยายออก ยิ่งคุณแม่บางคนไม่ค่อยได้ระวังเรื่องอาหารการกิน ทำให้มีไขมันส่วนเกินมาสะสมที่หน้าท้อง หลังคลอดหน้าท้องของคุณแม่จึงทั้งยืดทั้งย้วยน่าตกใจ การออกกำลังกายหลังคลอดอย่างน้อยแค่ซิตอัพวันละ 20-30 ครั้ง จะช่วยให้กล้ามเนื้อหน้าท้องกลับมาแข็งตึงเหมือนเดิม ทั้งยังช่วยลดไขมันหน้าท้องด้วย การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ช่วยให้คุณแม่ผอมลงเร็ว ช่วยระบายไขมันส่วนเกินออกไปได้บ้าง แต่ต้องควบคุมอาหารการกินให้ดีด้วยนะครับ ช่วงหลังคลอดควรเน้นอาหารประเภทโปรตีน ผักสด ผลไม้ นมพร่องไขมัน ให้หลีกเลี่ยงอาหารประเภทแป้ง ของหวาน ไขมัน ซึ่งจะยิ่งทำให้ไขมันไปสะสมที่หน้าท้องมากขึ้น ยิ่งอ้วนไปกันใหญ่

หน้าท้องของคุณแม่บางคนมีสีคล้ำขึ้นมากระหว่างตั้งครรภ์ เนื่องจากฮอร์โมนที่เพิ่มขึ้นในช่วงนี้ ระยะหลังคลอดผิวหนังชุดเดิมจะหลุดลอกไปเป็นขี้ไคลภายใน 3 เดือน ผิวหนังที่สร้างขึ้นมาชุดใหม่จะค่อยๆ ขาวขึ้นจนเหมือนปกติ จึงไม่ต้องกังวลเดี๋ยวก็เหมือนเดิมเอง ขัดก็ไม่ขาว ยิ่งขัดยิ่งทำให้ผิวแดงคล้ำขึ้นด้วยซ้ำไป ให้เวลากับร่างกายเราเองซักหน่อย ไม่ต้องไปเสียเงินเสียทองเข้าคอร์สขัดผิวหรอกครับ เอาเงินไปซื้อข้าวของให้ลูกดีกว่า
ความผิดปกติหลังคลอด มีหลักง่ายๆ ให้ดูว่าผิดปกติหรือไม่แค่ 4 อย่างเท่านั้นครับ คือ...

* ต้องไม่มีไข้
หากมีไข้แสดงว่าน่าจะมีการอักเสบเกิดขึ้นที่ใดที่หนึ่ง แต่หลังคลอดใหม่ๆ คุณแม่บางคนอาจมีไข้ต่ำๆ ได้ ซึ่งอาจเกิดจากการขาดน้ำหรืออ่อนเพลียมาก แต่หากไข้สูงขึ้นหรือไม่มีทีท่าว่าจะลด ก็ไปหาหมอได้เลย เพราะอาจมีการอักเสบที่กระเพาะปัสสาวะ ที่แผล หรือที่มดลูกเลยก็ได้

* ปวดท้องน้อยน้อยลง ซึ่งปวดมากใน 3-4 วันแรก ที่เรียกกันว่าคัดมดลูกหากปวดมากขึ้น ก็อาจเป็นไปได้ว่ามีการอักเสบเกิดขึ้น หรืออาจมีเศษรกที่คลอดออกมาไม่หมดค้างอยู่ * เจ็บแผลน้อยลง ปกติแผลฝีเย็บจะหายเร็วมาก แค่ 4 วันก็หายเจ็บแล้ว แต่ละวันจะเจ็บน้อยลงเรื่อยๆ อาจจะเจ็บมากขึ้นได้ หากเดินมากหรือเผลอไปนั่งแยกขามากจนระบม แต่ถ้าเจ็บมากขึ้นโดยไม่มีวี่แววว่าจะดีขึ้น อาจแปลว่าแผลกำลังจะอักเสบ...เรื่องใหญ่ละคราวนี้

* น้ำคาวปลาออกน้อยลง
น้ำคาวปลาที่ออกมาต้องน้อยลงทุกวัน แล้วก็จางหายไปใน 2 สัปดาห์ หากน้ำคาวปลาไม่ลด แถมออกเป็นเลือดแดงแจ๋มากขึ้น จนบางทีถึงกับตกเลือด มักเกิดจากมดลูกไม่หดตัว หรืออาจจะมีเศษรกติดค้างอยู่ภายในก็ได้ อย่างไรก็ดี ถ้าจะมีอะไรผิดปกติขึ้นมา มักจะเกิดใน 3 วันแรก ตอนอยู่โรงพยาบาล คุณหมอจะมาตรวจดูทุกวัน เปิดดูโน่นดูนี่เพื่อให้แน่ใจว่าทุกอย่างเป็นปกติดี แม่ที่คลอดเองมักอยู่โรงพยาบาลประมาณ 3 วัน จะได้กลับบ้านอย่างสบายใจ แต่ความผิดปกติอาจเกิดขึ้นในช่วงไหนก็ได้ หากมีอะไรผิดปกติไปจาก 4 ข้อที่ว่า ควรรีบไปพบแพทย์นะครับ ที่สำคัญคุณหมอจะนัดคุณแม่ไปตรวจหลังคลอดอีกครั้งใน 4-6 สัปดาห์ ห้ามพลาดรายการนี้เป็นอันขาด เพราะคุณหมอจะตรวจดูว่าเครื่องในภายในเข้าที่ เป็นปกติดีแล้วหรือยัง และจะคุยกันเรื่องคุมกำเนิดด้วย...เดี๋ยวจะท้องหัวปีท้ายปีเลี้ยงกันไม่ไหว อ้อ..ต้องงดมีเพศสัมพันธ์ 6 สัปดาห์หลังคลอดนะคร้าบ อย่าแกล้งทำลืม!

No comments: