Wednesday, April 7, 2010

ท่อน้ำตาลูกตัน ทำอย่างไรดี !


ท่อน้ำตาตัน หลายๆคนคงเคยได้ยินโรคนี้กันนะคะ ดิฉันประสบมากับตนเอง เพราะลูกชายคนเล็กเป็นอยู่คะ ตอนนี้เค้าก้อ 5 เดือนแล้ว แต่ยังเป็นไม่หายเลย ต้องรีบไปพบจักษุแพทย์แล้วคะ เจอบทความด้านล่างน่าสนใจมากเลยต้องรีบเอามาเก็บไว้ในนี้คะ

ภาวะท่อน้ำตาอุดตันในเด็กเป็นปัญหาที่พบ บ่อยมาก โดยพบได้อย่างน้อย 6 เปอร์เซ็นต์ของทารกแรกเกิด ลักษณะอาการโดยทั่วไป เด็กจะมีตาแฉะ น้ำตาไหลมาก ทั้งๆที่ไม่ได้ร้องไห้ ซึ่งในตอนแรกอาการตาแฉะจะมีเพียงน้ำตาใสๆ แต่ถ้าปล่อยทิ้งไว้จะพบว่าเด็กบางคนจะเริ่มมีขี้ตาเป็นสีเขียวมากขึ้น ซึ่งแสดงว่ามีเชื้อโรคเข้าไปและเกิดอาการติดเชื้อ ซึ่งอาการเหล่านี้คุณพ่อหรือคุณแม่จะสังเกตเห็นได้ตั้งแต่ลูกน้อยอายุ 2-3 สัปดาห์หลังคลอด

"พังผืด" ที่มาของการอุดตัน

ก่อน อื่นคงต้องรู้จักลักษณะทางกายภาพของทางเดินท่อน้ำตากันก่อน น้ำตาคนเราจะมีการหลั่งออกมาจากต่อมน้ำตาตลอดเวลาเพื่อให้ความชุ่มชื้นแก่ ดวงตา น้ำตาที่ออกมานี้จะถูกปั๊มเข้าถุงทางเดินน้ำตา โดยการกะพริบตาแล้วน้ำตาก็จะไหลลงท่อน้ำตาซึ่งเปิดเข้าในจมูก(ถ้าสังเกตดูจะ พบว่าเวลาเราหยอดตาแล้วรู้สึกขมๆในคอ)

โดย ส่วนใหญ่เด็กทารกที่มีท่อน้ำตาอุดตันมักเกิดจากมีแผ่นพังผืดปิดบริเวณปลายรู เปิดท่อน้ำตาในจมูก เมื่อมีแผ่นพังผืดปิดที่รูเปิดของท่อน้ำตาในจมูก จะทำให้น้ำตาขังเอ่อเข้าไปในลูกตา และเอ่อออกมาบริเวณดวงตาของเด็กในที่สุด

โดยตามธรรมชาติแล้ว ภาวะท่อน้ำตาอุดตันมักจะมีอาการดีขึ้นเองได้ถึง 90 เปอร์เซ็นต์ของผู้ป่วย แต่ก็มีกรณีที่เป็นแล้วไม่ได้รับการดูแลที่ถูกต้อง อาการที่เป็นอยู่ก็ไม่สามารถหายได้เอง เหล่านี้จะทำให้น้ำตาที่ขังอยู่ในตานานๆมีเชื้อโรคมาเจริญเติบโต เกิดการติดเชื้อบริเวณทางเดินน้ำตา ซึ่งอาจลุกลามต่อไป เข้าไปในเยื่อบุตา และกระจกตา ทำให้เกิดเยื่อบุตาอักเสบและกระจกตาอักเสบได้

น้ำตามาก สัญญาณโรคของ "ดวงตา"

แม้ลักษณะของภาวะที่เด็กมีน้ำตาขังอยู่ในตามากจะ เป็นสัญญาณบอกถึงอาการของท่อน้ำตาอุดตัน แต่ก็ไม่ใช่อาการบ่งชี้แค่เพียงโรคนี้เท่านั้นนะครับ เพราะการที่เด็กมีน้ำตามากอาจเกิดจากเยื่อบุตาอักเสบ กระจกตามีรอยถลอก กระจกตาอักเสบ มีเศษผงหรือสิ่งแปลกปลอมในตาหรือภาวะต้อหินในเด็กแรกเกิดก็เป็นได้ โดยเฉพาะภาวะต้อหินนี้นับว่าเป็นอาการที่รุนแรงเพราะหากเกิดในเด็กทารก แล้วจะมีผลทำให้ความดันภายในลูกตาสูงมาก เด็กจะมีอาการกระจกตาบวม และมีน้ำตาไหลมาก ซึ่งภาวะดังกล่าวถ้าทิ้งไว้ไม่ทำอะไร อาจตาบอดได้ ฉะนั้นถ้าลูกน้อยมีอาการเคืองตา น้ำตาไหลมาก ควรรีบพามาพบจักษุแพทย์ครับ

ยังมีภาวะท่อน้ำตาอุดตันอีกชนิดหนึ่งซึ่งนอกจาก จะมีการอุดตันบริเวณรูเปิดในจมูกแล้วยังมีการอุดตันของท่อน้ำตาก่อนเข้าถุง ทางเดินน้ำตา ซึ่งภาวะนี้เรียกว่า Mucocele ของถุงน้ำตา มักพบในเด็กแรกเกิด ซึ่งนอกจากจะมีอาการน้ำตามากแล้วยังจะมีก้อนนูนสีออกน้ำเงินบริเวณหัวตาด้าน ข้างจมูก ถ้ามีอาการเหล่านี้ควรรีบพาไปพบจักษุแพทย์ซึ่งจะให้การรักษาด้วยวิธีนวด บริเวณหัวตาร่วมกับการให้ยาปฏิชีวนะหยอดและป้ายตา ถ้าไม่ดีขึ้นมักต้องใช้แท่งโลหะ(Probe)แทงเพื่อเปิดรูท่อน้ำตา

ช่วยลูกได้ด้วยสองมือพ่อแม่

ส่วนใหญ่แล้วภาวะท่อน้ำตาอุดตันมักมีอาการดีขึ้น เองได้เมื่อทารกอายุได้ประมาณ 1 ปีดังที่ได้กล่าวไปแล้วเบื้องต้น เพราะฉะนั้นการรักษาโดยทั่วไปจักษุแพทย์มักจะแนะนำให้คุณพ่อหรือคุณแม่นวด บริเวณหัวตา ซึ่งเป็นตำแหน่งของถุงทางเดินน้ำตา

การนวดนี้เพื่อเป็นการเพิ่มความดันภายในท่อน้ำตา ซึ่งจะดันให้แผ่นพังผืดซึ่งปิดบริเวณรูเปิดในจมูกเปิดออก นอกจากการนวดแล้วแพทย์ก็มักจะให้ยาปฏิชีวนะหยอดและป้ายตาด้วย

การนวดบริเวณหัวตาต้องนวดบ่อยๆ วันหนึ่งทำหลายๆครั้ง ถ้าวิธีการนวดหัวตาร่วมกับการให้ยาปฏิชีวนะไม่ได้ผล จักษุแพทย์จะใช้แท่งโลหะ(Probe)ใส่ไปในท่อน้ำตาเพื่อเปิดท่อน้ำตาที่อุดตัน ให้เปิดออก ซึ่งถ้าไม่ได้ผลและเด็กยังมีอาการอยู่ จักษุแพทย์มักจะลองให้แท่งโลหะขยายท่อน้ำตาซ้ำอีก 2-3 ครั้ง ร่วมกับการหักกระดูกอ่อนในโพรงจมูก ถ้ายังไม่ได้ผลอีก จักษุแพทย์จะต้องใช้ท่อซิลิโคนคาไว้ในท่อน้ำตา หรือใช้บอลลูนใส่ในท่อน้ำตาแล้วขยายท่อน้ำตา ถ้าทุกวิธีที่กล่าวมาไม่ประสบความสำเร็จ มักลงท้ายด้วยการผ่าตัดเปิดท่อทางเดินน้ำตาบริเวณถุงทางเดินน้ำตาให้มีทาง ติดต่อเข้าไปในจมูก เพื่อให้น้ำตาไหลผ่านเข้าจมูกได้ครับ

การ ใช้แท่งโลหะ(Prob)ขยายท่อน้ำตานั้น ก่อนที่จะใส่แท่งโลหะ(Prob) เข้าไปจักษุแพทย์ก็มักจะใช้ยาหยอดหรือในบางรายก็จะใช้การดมยาสลบให้แก่เด็ก ก่อน ส่วนการผ่าตัดอื่นๆเรามักทำในเด็กที่ได้รับการดมยาสลบเพื่อที่เด็กจะได้ไม่ รู้สึกเจ็บครับ

ความจริงแล้ว โรคท่อน้ำตาอุดตันในเด็ก ถึงแม้จะป้องกันไม่ได้แต่สามารถรักษาให้หายได้ และก็ไม่ได้เป็นโรคที่รุนแรงอะไร คุณพ่อคุณแม่อย่าเพิ่งกังวลไปครับ วิธีการที่จะดูแลก็อย่างที่แนะนำไปแล้ว ซึ่งเบื้องต้นคุณพ่อคุณแม่ก็สามารถดูแลด้วยตัวเองได้ เพียงแต่สิ่งสำคัญคือควรจะรีบพาลูกมาพบจักษุแพทย์เพื่อที่จะได้รับคำแนะนำ ที่ถูกต้องถึงวิธีการปฏิบัติโดยเฉพาะการนวดบริเวณหัวตา ไม่ควรไปหัดทำเองโดยไม่ได้รับคำแนะนำจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโดยเด็ดขาด

หมอ ขอย้ำว่า แม้โรคนี้จะไม่ร้ายแรง แต่ก็ควรได้รับการปรึกษาจากจักษุแพทย์นะครับ เพราะฉะนั้นถ้าเห็นว่าเจ้าตัวเล็กมีน้ำตาเอ่อในดวงตาก็ควรรีบพาไปพบแพทย์ เพื่อจะได้วินิจฉัยและรักษาอย่างเหมาะสมและถูกต้องต่อไป ทั้งหมดนี้ก็เพื่อให้ลูกมีสุขภาพของดวงตาที่สมบูรณ์ยังไงละครับ

ขอบคุณ มัมมี่พีเดียมากคะ


No comments: