Thursday, April 29, 2010
หญิงและชาย
“บอยจะเอาสีชมพู...บอยจะอาว...จะอาว...”
เสียงพ่อหนูน้อยร่ำร้องทุรนทุราย แข่งกับสุ้มเสียงหงุดหงิดของคุณแม่ที่เพียรพยายามอธิบายแกมสั่งสอน
“ไม่ได้...ไม่ได้...ผู้ชายใช้สีชมพูไม่ได้...ไม่ ได้...ไม่ได้...”
ซ้ำซาก ...ยืนยัน ราวกับแผ่นเสียงตกร่อง เพื่อตอกย้ำให้รับรู้และจดจำ
ผู้ชาย...ต้องไม่ใช้สีชมพู
ความพึงพอใจของหนูน้อยในเรื่องเล็กๆ เรื่องหนึ่งกำลังถูกกำหนดด้วยความมุ่งมั่นชัดเจนของผู้เป็นแม่ โดยมีเรื่องราวอีกมากมายที่ยังรอคอยให้ถูกทยอยจัดวางเป็นความคิด ความเชื่อ ความชอบหรือรสนิยมของหนูน้อยภายใต้กรอบของผู้เลี้ยงดูและสังคมอีกอย่างต่อ เนื่อง
นี่ เป็นการสร้างลักษณะนิสัยและการแสดงออกของเด็กชายให้ต่างจากเด็กหญิงมากยิ่ง ขึ้นโดยอาศัยอิทธิพลของการเรียนรู้ ซึ่งเป็นกระบวนการบ่มเพาะจากการเลี้ยงดูและเติบโตเป็นหลัก ทั้งที่คนทั้งสองเพศก็มีอะไรอีกตั้งหลายอย่างที่ แตกต่างกันเองโดยธรรมชาติอยู่แล้ว
เริ่มตั้งแต่หน้าตา เครื่องเพศภายนอกของหนูน้อยที่ไม่เหมือนกัน ส่วนเครื่องเพศภายในก็เป็นแหล่งสรัางความแตกต่างทางฮอร์โมนเพศที่นำไปสู่รูป ลักษณ์และอารมณ์ที่ห่างไกลกันไปยิ่งขึ้นอีกเมื่อเติบโตขึ้น แม้ในช่วงวัยเด็กที่ฮอร์โมนเพศยังไม่เริ่มทำ หน้าที่ หนูน้อยสองเพศก็ยังคงมีรายละเอียดยิบย่อยที่ต่างกันโดยธรรมชาติอยู่พอควร
หนุ่มน้อยของเรา จะมีน้ำหนักและส่วนสูงมากกว่าเด็กหญิง
ไขมันตามเนื้อตัวของทารกเพศชายมีน้อยกว่าและสลาย ไปเร็วกว่าทารกเพศหญิง พร้อมกับที่ทารกชายมีกล้ามเนื้อมากกว่า แล้วยังใช้พละกำลังจากกล้ามเนื้อได้ดีกว่า จนเห็นได้อย่างชัดเจน เมื่ออายุประมาณสี่ห้าขวบ โดยเจ้าพละกำลังมากมายนี่เองที่มีส่วนสำคัญต่อการสร้างความภาคภูมิใจของเด็ก ชาย
นั่นปะไร...หนุ่ม น้อยวัยอนุบาลจึงทำให้คุณครูปวดเศียรเวียนเกล้ามากกว่าสาวน้อยหนุงหนิงตัว กระเปี๊ยกทั้งหลาย
อย่างไรก็ตาม การศึกษาในเรื่องอารมณ์อ่อนโยน เห็นอกเห็นใจและต้องการพึ่งพิง หรือ “ติด” ผู้ใหญ่ที่ตนรักนั้น กลับพบว่าเด็กชายกับเด็กหญิงไม่มีความแตกต่างกัน เพียงแต่ว่าเด็กหญิงจะมีธรรมชาติของการอยากดูแลคนอื่นมากกว่า แสดงออกทางอารมณ์ถึงความห่วงใยได้ชัดเจนกว่า ในขณะที่เด็กผู้ชายออกจะพยายามแสดงตัวเพื่อการ “นำ” ให้ตนเหนือกว่าผู้อื่นมากกว่า
ประมาณว่าเด็กชายมี “อีโก้” จัดกว่าผู้หญิงมาแต่อ้อนแต่ออกเชียวล่ะ แถมยังนิยมแสดงออกถึงอีโก้อย่างก้าวร้าวกว่าทั้งทางร่างกายและวาจา ในทางตรงข้าม เด็กหญิงตัวน้อย ๆ ของเรากลับใช้วิธีการแสดงความก้าวร้าวอย่างเนียน ๆ ประเภทเพิกเฉย ไม่สนใจ หรือไม่ร่วมมือไม่ช่วยเหลือ อุ๊ย! เรียกได้ว่ามีอาการดื้อเงียบ ต่อต้านอย่างเย็นชาแบบนางเอกนิยายน้ำเน่าได้เอง โดยมีธรรมชาติเป็นผู้จัดสรรให้มาพร้อมความเป็นเพศหญิงเลยนะเนี่ย
เมื่อธรรมชาติแบบนี้ถูกการเรียนรู้เสริมแต่งซ้ำ ลงไปอีก ก็ยิ่งทำให้ทั้งสองเพศดูแตกต่างมากมายจนถูกเปรียบเปรยว่ามาจากดาวต่างดวง อย่าแปลกใจที่พ่อเจ้าประคุณเอาแต่โหวกเหวก...นี่แหละอีโก้โดยกำเนิดกำลังแผลง ฤทธิ์ อย่างุนงงที่เจ้าหล่อนเหน็บ แนมเชือดเฉือน..ก็สมองมีศักยภาพด้านภาษาสูงขั้นเทพออกปานนั้น แต่แล้วก็ด้วยอิทธิพลของทั้งธรรมชาติผนวกกับการ เรียนรู้ทางสังคมอีกนั่นแหละที่ทำให้มนุษย์จากดาวต่างดวงมีแรงดึงดูดเข้าหา กัน
ธรรมชาติอีกแล้ว ที่มอบความรักให้มนุษย์ผู้แตกต่างสามารถเปิดใจยอมรับกันและกัน มองเห็นความแตกต่างเป็นปรากฏการณ์น่าตื่นเต้นชวนติดตาม แต่ก็เพราะธรรมชาติอีกเช่นกันที่เมื่อถึงจุดเวลา หนึ่งก็กลับลำ ทำให้มนุษย์ต่างเพศคู่นั้นรู้สึกเบื่อหน่าย หงุดหงิด แปลกแยกต่อความแตกต่างเดียวกันนั้นทั้งที่เคยรู้สึกดีๆมาก่อนในระยะเริ่มต้น
โชค ดีเหลือเกินที่มีมนุษย์ชาญฉลาดหลายคู่รู้จักคิด ...ไม่ปล่อยให้ทางเลี้ยวทางเลือกนี้ดำเนินไปตามยถากรรมที่ธรรมชาติวางไว้เขาและเธอรู้เท่าทันสถานการณ์เพียงพอที่จะให้ โอกาสแก่การเรียนรู้และการปรุงแต่งธรรมชาติอย่างสร้างสรรค์ด้วยสมองได้แสดง ตัวแสดงผลงาน
ความเข้าใจ ความมีสติ ความยืดหยุ่นต่อการเปลี่ยนแปลง การให้อภัย การเห็นอกเห็นใจ ฯลฯ....ล้วนเป็นผลลัพธ์ยิ่งใหญ่จากการเรียนรู้ที่มีคุณค่าเหนืออารมณ์ตาม ธรรมชาติ การเรียนรู้เหล่านี้ทำให้มนุษย์ทั้งสองเพศสามารถประคองชีวิตร่วมกันต่อไปได้ อย่างลึกซึ้งและมั่นคง
ความ จริงของผู้ชาย
ตัวสูงกว่า
น้ำหนัก มากกว่า
มีองค์ประกอบของกล้าม เนื้อในร่างกายมากกว่า
มีพละ กำลังของกล้ามเนื้อมากกว่า
พยายาม เป็นผู้นำมากกว่า
พยายามมาก ขึ้นเมื่อมีการแข่งขัน
เหี่ยว ย่นช้ากว่า แต่มีโรคจากความชรามากว่า
ความจริงของผู้หญิง
มีไขมันมากกว่า
มีเพื่อนกลุ่มเล็กกว่า
เริ่มพูดได้ช้ากว่า แต่เมื่อเริ่มแล้วก็จะพูดได้มากกว่าและใช้พูดได้ซับซ้อนกว่า
มีความพยายามเพราะต้องการตอบสนองความรู้สึกว่าตน “ทำได้”
แก่ง่าย อายุยืนกว่า
ขอบคุณ มัมมี่พีเดีย
Wednesday, April 28, 2010
ลูกร้องกลั้น
ลูกรักอายุไม่กี่เดือน เวลาเห็นลูกแผดเสียงร้องจนงอหาย เหมือนจะหยุดหายใจไปเสียเฉยๆ คนเป็นแม่มือไม้สั่นใจสั่น ไม่รู้ว่าลูกเป็นอะไร จะเจ็บปวดตรงไหนก็ไม่เห็น ..ยิ่งแม่ลุกลี้ลุกลนจับตัวลูกพลิกซ้ายพลิกขวาหาสาเหตุ ลูกยิ่งร้องกลั้นจนหน้าเขียว.. แม่แทบขาดใจ
ไม่ใช่เฉพาะแม่คนใหม่ หรอกที่เจอสถานการณ์อย่างนี้ แม่ลูกสองลูกสามอาจจะจนตรอกเอาง่ายๆ เหมือนกัน ในเมื่อลูกคนแรกเลี้ยงง่ายดาย ร้องก็ร้องตามตำราว่าไว้ คือร้องต่อเมื่อหิว เปียกแฉะ ร้อนหนาว ..แต่เจ้าตัวเล็กนี่สิ ไม่เหมือนคนพี่ ร้องทีงอหาย กลั้นหายใจจนหน้าเขียว ทั้งที่กินก็อิ่มแล้ว เปียกก็ไม่เปียก มดกัดรึก็ไม่มี..
สื่อภาษาด้วยเสียงร้อง
ผู้ มีประสบการณ์ในการดูแลทารกบอกว่า ปกติการร้องของเด็กขวบปีแรกไม่ใช่ร้องอ้อน เรียกร้องความสนใจอย่างที่บางคนเข้าใจ การร้องของเด็กเป็นการสื่อสาร สื่อภาษา.. หนูหิว หนูเปื้อน หนูตกใจกลัว หนูอยากให้แม่มากอด เพราะฉะนั้นถ้าลูกร้อง พ่อแม่ต้องรีบมาตอบสนอง มาหาเขา มาอุ้ม มากอด มาปลอบ ดูสิว่าลูกหิวนม หรือต้องเปลี่ยนผ้าอ้อมไหม
เด็กจะค่อยๆเรียนรู้ ว่าเมื่อเขาต้องการความช่วยเหลือจะมีคนมาหา มารัก มาช่วยเหลือดูแลทำให้เขาสบาย เรียนรู้ว่าเขามีเจ้าของ มีที่พึ่ง ไม่ถูกทิ้งให้อยู่คนเดียว แม้จะมาช้าบ้าง แต่ก็มา เช่นพอลูกร้อง แม่อาจยังล้างขวดนมไม่เสร็จ แต่ส่งเสียงออกไปว่า"เดี๋ยวลูก" ลูกได้ยินเสียงแม่ จะรู้จักคอยเพราะรู้ว่าเดี๋ยวแม่ก็มา..
ตรงนี้ เองทำให้ลูกเริ่มจำแม่ได้ เริ่มผูกพันกับแม่ซึ่งเป็นผู้เลี้ยงดูใกล้ชิดที่สุด และการตอบสนองลูกอย่างนุ่มนวลสม่ำเสมออย่างนี้ตั้งแต่แรกเกิด จะสร้างพื้นฐานทางอารมณ์ที่ดีให้กับลูก ลูกจะเติบโตเป็นเด็กอารมณ์ดี พอ 3-4 เดือนจะเริ่มรู้จักยิ้ม หัวเราะ เล่นกับพ่อแม่ได้
แต่ถ้า พ่อแม่บางคนไม่เข้าใจ นึกว่าการที่ลูกร้องแล้วไปอุ้มไปโอ๋ปลอบโยนจะทำให้เสียเด็ก เคยตัว หรือติดมือ ปล่อยให้ลูกร้องหรือรอนานๆ ลูกจะยิ่งอารมณ์เสีย ร้องไห้งอแง กลายเป็นเด็กขี้โมโห ฉุนเฉียวไป
ลักษณะ อารมณ์ที่แตกต่าง
ลักษณะการร้องของเด็ก ยังขึ้นอยู่กับพื้นฐานทางอารมณ์ที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิดของเด็กแต่ละคนด้วย บางคนอาจจะขี้โมโห อากาศร้อนหน่อย รอหน่อยไม่ได้ หรือยังไม่ทันจะลืมตาก็แผดเสียงร้องก่อน ผิดกับเด็กบางคนนอนยิ้ม นอนเล่นเฉยๆได้ทั้งวัน เลี้ยงง่ายเลี้ยงดาย กินนมเสร็จก็หลับปุ๋ย ตื่นขึ้นมานอนมองโมบายล์ไป ไม่ยุ่งยากอะไร ฉี่เปียกก็ไม่ร้อง..
เพราะ ฉะนั้นเด็กที่ชอบร้องแผดเสียงดัง บางทีร้องงอหาย ร้องกลั้นหายใจ จนหน้าเขียวตัวเขียว ส่วนใหญ่เป็นเพราะพื้นอารมณ์ เป็นเด็กอารมณ์ร้อน อารมณ์รุนแรงมาตั้งแต่เกิด
นึกถึงคำพูดที่ว่าเด็กเหมือนผ้าขาวที่ เราสามารถแต่งแต้มหรือเลี้ยงดูให้เป็นอย่างไรก็ได้ ก็ไม่ผิด แต่ว่าผ้าขาวแต่ละผืนเนื้อผ้าอาจไม่เหมือนกัน บางคนเป็นผ้าฝ้าย บางคนเป็นผ้าแพรผ้าไหม ผ้าดิบ.. ถ้าเราจะพัฒนาลูกก็ต้องเข้าใจพื้นฐานอารมณ์ของลูกด้วย เข้าใจว่าเด็กแต่ละมีความแตกต่างกัน
สยบลูกใจร้อน
ถ้า สังเกตได้ว่าลูกมีพื้นฐานอารมณ์เป็นเด็กใจร้อน อารมณ์รุนแรง อย่าปล่อยให้ลูกคอยนาน ชนิดที่ว่าร้องจนตัวเขียวแม่ก็ยังไม่มา ลูกจะติดนิสัยใจร้อนขี้โมโหไปจนโต เพราะร้องแล้วไม่รู้ว่าแม่จะมาหรือไม่มา ฉะนั้นฉันต้องแผดเสียงไว้ก่อน
พ่อแม่ต้องทำให้ลูกค่อยๆใจเย็นลง ค่อยๆรู้จักรอคอย ทำให้ลูกมั่นใจว่าอย่างไรพ่อแม่ก็มาดูแลเอาใจใส่ ปฎิบัติต่อลูกด้วยท่าทีที่อบอุ่นนุ่มนวล มั่นคง และสม่ำเสมอ เจ้าตัวน้อยขี้โมโหจะค่อยๆรู้จักควบคุมตัวเองให้สงบลง
ที่สำคัญตัว พ่อแม่และผู้เลี้ยงดูเด็กนี่ละ ..ใจเย็นหรือเปล่า เด็กที่เกิดมาใจร้อนมักเป็นลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น ได้กรรมพันธุ์มาจากพ่อแม่นี่เอง หรืออาจได้แบบอย่างจากการเห็นหรือรู้สึกกับสิ่งที่พ่อแม่ปฏิบัติต่อเขา พ่อแม่บางรายไม่เข้าใจ พอลูกร้องมากๆ ตัวเองน็อตหลุด โกรธตอบลูก ตะเบ็งเสียงแข่งกับลูก หรือปฏิบัติกับลูกอย่างกระแทกกระทั้น ลูกจะยิ่งร้องตอบ เลียนแบบการแสดงอารมณ์ของพ่อแม่
หรือพ่อแม่ที่ตอบ สนองลูกไม่ถูก ได้ยินเสียงร้องของลูกแล้วเงอะงะมือไม้สั่น ลุกลี้ลุกลน ก็เหมือนกับที่ปล่อยให้ลูกรอคอยนั่นแหละ ลูกจะยิ่งร้องเพราะพ่อแม่ตอบสนองไม่ถูกใจตรงความต้องการสักที
ร้องอย่างนี้อันตรายไหม
พ่อ แม่กลัวนักหนาเวลาลูกร้องกลั้นจนหน้าเขียว..เพราะกลัวลูกจะขาดออกซิเจน กระทบกระเทือนถึงสมอง พาลนึกไปว่าร้องมากๆ จะทำให้ลูกโง่ไหมเนี่ย?
ไม่ เลย ตามสัญชาตญาณของคนเรา เด็กมีศูนย์ควบคุมการหายใจอยู่ที่สมองศูนย์นี้จะตอบสนองเร็วมากถ้ามีอะไร มากระทบ อย่างเช่นก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ เพราะเวลาเราหยุดหายใจ คาร์บอนไดออกไซด์จะคั่ง จะกระตุ้นศูนย์หายใจ ทำให้เด็กหายใจทันที
เด็ก ที่ร้องกลั้นจะกลั้นหายใจอยู่ไม่นาน สักพักจะหายใจแล้วร้องต่อโดยอัตโนมัติจึงไม่ต้องกลัวว่าลูกจะเป็น อันตรายอย่างที่คิด
ไม่ สบายหรือเปล่า
ถ้าลูกเกิดเจ็บปวด ไม่สบาย จะร้องในลักษณะที่แตกต่างไปจากปกติ ถ้าปกติลูกเคยเป็นเด็กอารมณ์ดี ร้องก็ร้องไม่มาก จู่ๆเกิดร้องแผดเสียงจ้า หรือร้องกลั้นหน้าเขียว อาจเจ็บไข้ไม่สบายได้ แต่ก็ต้องมีอาการอย่างอื่นประกอบให้เห็นด้วย
เช่น ถ้าปวดท้อง ลูกก็จะร้องเกร็งแขนขางอ กำหมัดแน่น อาจจะท้องเสีย หรือถ้ามีลมในท้องก็จะท้องป่อง ถ้าจับนั่งเรอสักพักจะหาย หรือถ้าเป็นไข้ วัดปรอทจะเห็นว่าอุณหภูมิขึ้นสูง หน้าแดง ตัวแดง อย่างนี้เป็นต้น
ถ้า หาสาเหตุไม่เจอ อาจพาไปหาหมอตรวจให้แน่ใจ
ขอบคุณ มัีมมี่พีเดีย
Monday, April 26, 2010
สอนลูกอย่างไรดี คำตอบอยู่ที่เซลล์กระจกเงา
เมื่อมีลูก พ่อแม่ทุกคนฝาก ‘ความหวัง’ ไว้ที่ลูกเสมอ หวังอยากให้ลูกได้ดี หวังอยากให้ลูกเป็นที่เชิดหน้าชูตาของ พ่อแม่และวงค์ตระกูล หวังว่าจะได้ฝากผีฝากไข้ยามที่พ่อแม่แก่เฒ่า
นี่ คือความหวัง แต่ความสมหวังคงจะเกิดขึ้นไม่ได้ หากพ่อแม่ไม่ได้ลงทุนลงแรงอะไรเลย ตรงกันข้าม ยิ่งหวังมาก ยิ่งต้องออกแรงมาก ที่น่าเป็นห่วงคือ พ่อแม่หลายต่อหลายคนเข้าใจผิดว่า การลงทุนของพ่อแม่คือการใช้เงิน การจ้าง หรือไหว้วานคนอื่นให้มาทำหน้าที่แทน ให้คนอื่นหรือสิ่งอื่นมาทำในสิ่งที่ตัวเองควรจะทำ สุดท้ายพ่อแม่อาจจะไม่ได้สมหวังตามที่ตั้งความหวังเอาไว้
ใน เมื่อมันเป็นหน้าที่เราก็ต้องยอมรับ จะหลีกเลี่ยงไม่ได้ และความสำคัญของหน้าที่อันนี้ไม่ได้ยิ่งหย่อนน้อยไปกว่าการทำมาหากินของพ่อ แม่ ข้ออ้างที่ว่า ต้องทำมาหากิน ไม่มีเวลาอบรมเลี้ยงดูลูก ผมว่าเราต้องเลิกอ้างกันได้แล้ว หากเรายังหวังว่าเมื่อถึงเวลา ‘ลูก’ จะคือผู้ที่ทำให้ ‘ความหวัง’ ของเราเป็นจริง
เราพบอยู่เสมอว่า เมื่อเวลาเด็กมีปัญหา พ่อแม่จะกล่าวโทษครูที่โรงเรียนว่าไม่ช่วยสอนเรื่องนั้น เรื่องนี้ พอโรงเรียนบอกว่าพ่อแม่ต้องช่วยโรงเรียนด้วย พ่อแม่จะบอกว่าไม่มีเวลา ต้องทำมาหากิน สุดท้ายจึงเรียกร้องให้มีหลักสูตรคุณธรรมขึ้นในโรงเรียน โรงเรียนก็จัดให้ตามคำขอ คุณธรรมจริยธรรมกลายเป็นวิชาขึ้นมา ต้องเรียน ต้องสอบเก็บคะแนน ใครได้คะแนนมากแปลว่ามีคุณธรรมมาก ทั้งๆ ที่คุณธรรมจริยธรรมเป็นเรื่องเกี่ยวข้องกับการใช้ชีวิตประจำวันของคน การปลูกฝังควรจะอยู่ในบริบทของวิถีชีวิตประจำวัน และควรเป็นบทบาทของพ่อแม่
ปรากฏการณ์นี้สะท้อนให้เห็นว่า พ่อแม่ส่วนหนึ่งกำลังลืมบทบาทของตัวเอง และมองข้ามความสำคัญของการเป็น ‘แม่ไม้’ เพื่อให้ ‘ลูกไม้’ ได้ร่วงหล่นอยู่ภายใต้ร่มเงาอันร่มเย็น
เซลล์กระจกเงาคืออะไร มีความสำคัญอะไรต่อความสัมพันธ์ระหว่าง ‘แม่ไม้’ และ ‘ลูกไม้’
คุณอาจเคยเจอเหตุการณ์ที่เห็นคนอื่นหาวแล้วคุณหาวตามโดยอัตโนมัติ คุณอาจเคยฟังเพื่อนสนิทเล่าเรื่องราวความไม่ดีของสามีของเขาให้ฟังด้วยความ โกรธแค้น และน้อยใจ แล้วคุณก็รู้สึกโกรธเกลียดสามีของเพื่อนตามไปด้วย ทั้งๆ ที่เขาก็ไม่เคยทำอะไรให้คุณขุ่นเคืองใจเลย
คุณอาจเคยไปดูเขา สาธิตการทำอาหาร พอกลับถึงบ้านคุณสามารถปรุงอาหารจานนั้นให้สามีและลูกรับประทานได้อย่าง เอร็ดอร่อยโดยที่ไม่ต้องกางตำราเลย ทั้งหมดที่เกิดขึ้นเป็นเพราะ ‘เซลล์กระจกเงา’ ครับ
นักวิทยาศาสตร์พบว่า ในสมองของคนเรามีเซลล์อยู่ชนิดหนึ่ง หน้าที่ของมันคือการทำเลียนแบบท่าทางผู้อื่นที่พบเห็นทั้งโดยตั้งใจ หรือโดยอัตโนมัติ มันทำหน้าที่ ‘อ่าน’ ท่าทีหรือท่าทางของคนอื่นเพื่อให้เราได้ ‘เข้าใจ’ ถึงความรู้สึกและเจตนาที่ซ่อนอยู่ภายใต้ท่าทีและท่าทางนั้นๆ แถมยังบังคับ ควบคุมให้เราปรับท่าทีหรือท่าทางให้สอดคล้องกับ ‘ความเข้าใจ’ ของเราที่มีต่อความในใจ หรือเจตนาของคนผู้นั้นด้วย ด้วยเหตุนี้แหละครับคุณถึงได้หาวตามผู้อื่น โกรธเคืองสามีคนอื่น ทำอาหารได้เพียงแค่ไปดูเขาสาธิตวิธีทำ นักวิทยาศาสตร์ตั้งชื่อเซลล์ชนิดนี้ว่า ‘เซลล์กระจกเงา : Mirror Neuron’
คุณ เคยสงสัยไหมครับว่า ทำไมเด็กเล็กๆ ที่พูดยังไม่ได้หรือพูดยังไม่ค่อยชัด แต่ก็สามารถเข้าใจสิ่งที่พ่อแม่พูดหรือสอนได้ โดยเฉพาะเมื่อเวลาพ่อแม่พูดพร้อมกับแสดงท่าทางให้เห็นด้วย จากเสียงที่เปล่งออกมาประกอบกับท่าทางที่พ่อแม่แสดงออกจะกระตุ้นให้เซลล์ กระจกเงาของเด็กสามารถอ่าน และเข้าใจความหมายหรือเจตนาที่ซ่อนอยู่ภายใต้น้ำเสียง และท่าทางนั้นได้
นี่ คือวิธีการเรียนรู้ที่เด็กเล็กๆ ใช้เพื่อทำความเข้าใจกับสิ่งต่างๆ รอบตัว เป็นวิธีการเรียนรู้ที่สำคัญที่สุดที่ธรรมชาติได้มอบให้ นั่นก็คือ การเรียนรู้ด้วยการเอาอย่าง (Imitative Learning) ซึ่งเป็นการทำงานของเซลล์กระจกเงานั่นเอง การเรียนรู้แบบนี้แหละครับที่ทำให้เกิดภาษาและความเข้าใจในภาษาของเด็ก การเรียนรู้ทั้งสองแบบคือการเรียนรู้ด้วยการเอาอย่าง และการเรียนผ่านทางการสื่อสารด้วยภาษา ซึ่งเป็นเครื่องมือสำคัญในการเรียนรู้ของมนุษย์ไปจนตลอดชีวิต
ใน เมื่อเด็กยังเล็กอยู่ การเรียนรู้โดยการสื่อสารด้วยภาษายังไม่ได้ผลเต็มที่ เพราะความสามารถในการรับ หรือส่งภาษายังไม่มากพอ ดังนั้น การเรียนรู้โดยผ่านทางภาษาจึงยังไม่บังเกิดผลอย่างเต็มที่ เซลล์กระจกเงาจึงเป็นคำตอบที่สำคัญของคำถามที่ว่าจะสอนลูกอย่างไรดี โดยเฉพาะในเด็กเล็กๆ
มาดูกันครับว่าเราจะใช้ทฤษฎีเซลล์กระจกเงา สอนลูกได้อย่างไรบ้าง เพื่อจะให้ลูกสามารถทำให้ ‘ความหวัง’ ที่เราฝากไว้ให้เป็นจริงในอนาคต
หวังอยากให้ลูกเป็นคนดี สิ่งที่เราต้องทำก็คือ
- ทำดีให้ลูกเห็นเป็นแบบอย่าง พาลูกไปกราบคุณตาคุณยาย พาลูกไปทำบุญ
- อย่าทำสิ่งไม่ดีแม้ลูกจะไม่อยู่ เพราะอาจเผลอทำเวลาที่ลูกอยู่ด้วย
- กันลูกออกจากแบบอย่างที่ไม่ดี เพราะเราไม่อยากให้เซลล์กระจกเงาของเขาไปสัมผัสกับแบบอย่างที่ไม่ดี
- ชมเมื่อลูกทำดี
หวังอยาก ให้ลูกรัก (การอ่าน) หนังสือ สิ่งที่เราต้องทำคือ
- อ่านหนังสือให้ลูกเห็นทุกวัน
- เล่านิทานให้ลูกฟังก่อนนอนทุกคืน
- มีหนังสือ (ล่อใจ) ให้ลูกอ่าน (เล่น) ที่บ้าน
- มีกระดาษ ดินสอ สี เอาไว้ขีดเขียน
- พาลูกไปห้องสมุด และร้านหนังสือสัปดาห์ละครั้ง
- ชมเมื่อเห็นลูกอ่าน (เล่น) หนังสือ
หวังอยากให้ลูกเก่งและมีความคิดสร้างสรรค์ สิ่งที่ต้องทำคือ
- พ่อแม่ทำตัวเป็นคนอย่างรู้ให้ลูกเห็น หากลูกตั้งคำถามพาลูกค้นหาคำตอบ
- พ่อแม่พาลูกทำกิจกรรมอ่าน ฟัง ดูให้มาก
- แสดงให้ลูกเห็นว่า ชอบวิธีคิดของลูกมากกว่าคำตอบของลูก
- ชมเมื่อลูกมีวิธีคิดที่แตกต่าง หรือมีวิธีคิดใหม่ๆ
จาก: นิตยสารรักลูก
หนูน้อยท่อน้ำตาตัน
วิธีการช่วยเบื้องต้น อีกครั้งคะ เอามือของพ่อ หรือ แม่ คลึงที่โคนตาเบาๆแล้วลูบลากลงมาตามแนวจมูกคะ จะช่วยขยายท่อน้ำตาให้ลูกได้คะ
Tuesday, April 20, 2010
แม่ยุคใหม่
Conservative VS Creative
แม่ยุคใหม่ต้องรู้ว่าอะไรเป็นเรื่องหลักๆ ที่มีคุณค่า และต้อง Conservative (อนุรักษ์หรือว่าบำรุงรักษาไว้) เช่น สายสัมพันธ์ของคนระหว่างรุ่น ความละเอียดอ่อนของการปฏิบัติต่อกัน การพูดจาของแม่-ลูก หรือสามี-ภรรยา รวมไปถึงการก้าวผ่านความเปลี่ยนแปลงยากๆ ทางเศรษฐกิจไปได้ แม่ก็ต้องมีมุมมองเรื่องของ Financial Conservative เพราะแม่ที่ใช้จ่ายเกินตัวไปตามกระแสบริโภคนิยม จะทำให้ไม่สามารถปรับตัวไปตามการเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจ เพราะฉะนั้นจึงต้องรู้จักมุมมองของทาง Conservative ในเรื่องสำคัญๆ ของชีวิต
แต่ ถ้าแม่เน้นไปในทาง Conservative อย่างเดียว ไม่รู้จัก Creative ก็เหมือนกับเราขาดครึ่งหนึ่งใหญ่ๆ ของชีวิตไปได้เหมือนกัน แม่ต้องสมัยใหม่รู้ว่าอะไรเป็นการเปลี่ยนแปลงใหม่ๆ ที่ส่งผลดีต่อพัฒนาการของลูก เป็นผลดีต่อการพัฒนาตนเอง และแนวคิดอะไรใหม่ๆ ที่ดีต่อการใช้ชีวิตคู่ หรือต่อการคิดเป็นในโลกที่เปลี่ยนแปลงเร็ว เรื่องนี้เป็นเรื่อง Creative ที่แม่ต้องเข้าหาความรู้ความเข้าใจใหม่ๆ เอามาผสมกับส่วนที่เราต้องรักษา ทะนุถนอมหรือ Conservative ไว้
ถ้าทีฟ (-tive) ไม่เป็นจังหวะ
ถ้าแม่ยุคใหม่ทีฟไม่เป็น ก็จะไป Conservative กับเรื่องที่ควรเปิดโอกาส ให้มีการสร้างสรรค์หรือเรียนรู้สิ่งใหม่ก็จะกลัวไปหมด กลัวสื่อการรับรู้ใหม่ๆ กลัวไปหมดรู้สึกไม่ปลอดภัยกับโลกก็ห้ามลูกไปหมดเหมือนกัน แบบนี้เรียกว่าเน้น Conservative มาก
บ้านที่แม่เน้น Conservative มากๆ ทุกอย่างก็จะอยู่ในระเบียบ ไม่ยอมให้ลูกเล่นอย่างมีอิสระ เปื้อนดินเปื้อนทราย ลูกต้องสะอาดของทุกอย่างต้องเข้าที่เข้าทาง ก็จะทำให้ลูกไม่แข็งแรง เพราะสุขภาพที่ดีไม่ได้เกิดจากการไม่มีเชื้อโรค ในมนุษย์เราคนหนึ่งมีเชื้อโรคอยู่ราว 20% มิใช่สะอาดหมดจด 100% ฉะนั้น การที่เด็กไปเล่นดินเล่นทราย เด็กจะสร้างวัคซีนธรรมชาติในตัวเอง เด็กสมัยใหม่จึงเป็นภูมิแพ้เยอะ เพราะแม่ Conservative ด้านสุขอนามัยแบบสุดโต่งเกินไป แม่ต้องปล่อยให้ลูกมีโอกาส Creative ที่จะเล่นเลอะเทอะบ้างบางจังหวะ
ส่วนบางบ้านที่เน้น Creative มาก ของอยู่ตรงไหนก็หาไม่เจอ ชีวิตจะสับสนอลหม่านมาก ทีฟไปในทาง Creative มากเกินไป ครอบครัวที่ Creative มากๆ ทุกคนในบ้านงงไปหมดเพราะมีเรื่องใหม่ๆ ทุกวัน ไม่ว่าจะทำอะไรคนก็สร้างสรรค์กันเกินเหตุ สร้างสรรค์จนไร้ระเบียบ การเอนไปทางใดทางหนึ่งมากเกินไป ก็เท่ากับว่าทีฟไม่เป็นจังหวะ
ชีวิต ต้องการทั้งสองด้าน แต่ต้องรักษาสมดุลของขั้วต่างให้ประสานสัมพันธ์กัน ไม่ใช่ว่าด้านที่เราต้องการอย่างหนึ่งแต่ไม่ต้องการอีกด้าน เพราะทั้งสองด้านมีอยู่แล้วในตัวของเรา แต่เราต้องรักษาดุลยภาพในชีวิตประจำวัน
เทคนิคทีฟ (-tive) ให้เป็น
เราจะทีฟอย่างไรให้มีจังหวะ เทคนิคที่จะทีฟให้เป็น เราต้องรู้ว่าบางเรื่องจะทีฟในจังหวะไหน เราต้องรู้จักตัวเอง รู้จักลูก รู้จักสามี หรือเพื่อนร่วมงาน แล้วจะรู้ว่าจะทีฟจังหวะไหนดี ซึ่งทักษะการทีฟที่แม่ควรมีคือ ความเข้าใจ การตื่นตัว และเรียนรู้
ชีวิตเราต้องการสมดุลทั้ง Conservative และ Creative แม่ก็ต้องรู้ว่าปริมาณของทั้งสองขั้วที่พอดีกับชีวิตเป็นอย่างไร ซึ่งเราแต่ละคนนั้นก็มีส่วนผสมนี้ไม่เท่ากันตามอัตภาพ ถ้าใครที่แม่นยำ รักษาสมดุลระหว่างสองทีฟนี้ได้ ผมเรียกว่าทีฟเป็น
การ ที่แม่ทีฟเป็นช่วยลูกได้เยอะ เพราะแม่ที่มีทักษะในการรู้จังหวะการทีฟ คือคนที่เข้าใจเรื่องกาลเทศะ เข้าใจคนอื่น และเข้าใจเรื่องภาวะอารมณ์ แม่แบบนี้จะเป็นแบบอย่างของลูก สิ่งที่แม่พูดหรือสอนไม่ค่อยมีอิทธิพลต่อลูกมากเท่ากับสิ่งที่แม่เป็น การเป็นแบบอย่างของแม่ คือการสื่อสารที่มีพลังที่สุดยิ่งกว่าการสื่อสารและการสอนทุกรูปแบบ ถ้าแม่เป็นคนเรียน ลูกก็จะได้รับอิทธิพลของการเรียนรู้ด้วย
ทุก วันนี้มีเรื่องวุ่นวายเกิดขึ้นมากมายหลายเรื่อง ทำให้เราสับสนต่อข้อมูล การสื่อสารที่มากเกินไป เราก็ต้องมีบ้างที่จะต้อง Conservative ด้านที่จัดระเบียบร่างกายและจิตใจให้อยู่ในภาวะที่สุขสงบ Conservative จะช่วยให้ชีวิต Creative ได้อย่างเหมาะสม
ขอบคุณ มัมมี่พีเดีย
Monday, April 19, 2010
เรียนรู้เรื่องเวลาผ่านกิจวัตรประจำวันที่เป็น เวลา
คุณแม่สามารถสอนลูกให้เรียนรู้เรื่อง เวลาได้ง่ายๆ โดยการใช้กิจวัตรประจำวันของลูก อาทิ เข้านอน ตื่นนอน รับประทานอาหาร ฯลฯ ตั้งแต่เช้า สาย บ่าย เย็น มาปรับสอนให้ลูกเข้าใจความสำคัญของการทำอะไรให้เป็นเวลา ถ้าทำเป็นประจำทุกวันลูกจะค่อยๆ เข้าใจ โดยไม่ต้องพร่ำสอน เมื่อลองทำตามสมการข้างต้นแล้วล่ะก็ เราอาจได้เด็กที่มีระเบียบวินัยแถมมาอีกคนเลยด้วย
ความแตกต่างของเวลา
คุณ แม่อธิบายถึงความแตกต่างระหว่างกลางวันกับกลางคืน โดยใช้ตัวอย่างง่ายๆ จากการสังเกตสิ่งแวดล้อมรอบตัวลูก เช่น "ตอนกลางวันสว่างและร้อนกว่าตอนกลางคืน" "พระอาทิตย์จะขึ้นตอนกลางวัน ส่วนพระจันทร์ขึ้นตอนกลางคืน" "ตอนเช้าพ่อต้องไปทำงาน ถ้าเย็นแล้วพ่อก็จะกลับบ้าน" เป็นต้น ซึ่งเมื่อเด็กสามารถแยกแยะความต่างของกลางวันกับกลางคืนได้ ก็จะช่วยให้เด็กเข้าใจเรื่องเวลาและเชื่อมโยงกิจวัตรประจำวันต่างๆ ได้ง่ายขึ้น
สอนเรื่อง เข็มนาฬิกา
นาฬิกาเป็นสิ่งประดิษฐ์ที่เป็นตัว ช่วยให้ลูกเข้าใจเรื่องเวลาง่ายขึ้น เช่น "ลูกเข้านอนตอนเข็มสั้นชี้ตรงที่เลข 8 นะ" "ลูกอาบน้ำตอนนาฬิกาชี้ที่เลข 7 นะคะ จะได้ไปโรงเรียนทัน" "เข็มสั้นกับเข็มยาวชี้ไปที่เลข 12 แล้วได้เวลากินข้าวกลางวันแล้วล่ะ" นอกจากนี้ทุกครั้งที่จะเรียกหรือชวนให้ลูกทำอะไร คุณแม่ยังควรระบุเวลาพร้อมกับชี้ไปที่นาฬิกาทุกครั้ง เพื่อให้ลูกเคยชินกับการดูนาฬิกาค่ะ
รู้ลำดับก่อนหลัง
คุณ แม่ยังสามารถเชื่อมโยงลำดับเวลาของวันได้เพื่อให้ลูกเรียนรู้การลำดับ กิจกรรมที่ตัวเองทำก่อนหลัง เช่น "ลูกอาบน้ำแล้วแต่งตัว กินข้าว แล้วถึงได้ไปเล่นกับเพื่อนนะ" ที่สำคัญคือคุณแม่ต้องทำกิจวัตรให้เป็นประจำสม่ำเสมอ เพื่อที่ลูกจะได้จดจำภารกิจและเวลาของตัวเองได้
ข้อดี-เสีย ของเวลา
ชี้ ให้ลูกเห็นถึงความสำคัญของการตรงเวลา และย้ำถึงข้อดีการตื่นเช้าว่าจะทำให้มีเวลาทำสิ่งต่างๆ ได้มากมายในแต่ละวัน และไม่พลาดนัดสำคัญต่างๆ ด้วย "เจ้าสัตว์ตัวน้อยใหญ่ของป่าสายรุ้งตื่นแต่เช้าไปเก็บผลไม้ จึงได้ผลไม้ไว้เก็บกินกันมากมายตลอดทั้งวัน แต่เจ้ากระต่ายน้อยน่ะสิ ตื่นสายและชักช้าโอ้เอ้อยู่ กว่าจะไปเก็บผลไม้ก็ใกล้เที่ยงแล้ว เมื่อไปเก็บผลไม้ก็พบว่าผลไม้หมดแล้ว เจ้ากระต่ายจึงไม่มีอาหารกินในวันนั้น" แล้วบอกเด็กๆ ด้วยนะคะว่า นี่คือผลของการตื่นสาย และไม่รักษาเวลา ส่งผลให้เจ้ากระต่ายน้อยต้องทนหิวไม่มีอาหารกินเพราะตัวเองขี้เกียจนอนตื่น สายนั่นเอง
กำหนด เวลาให้แน่นอน
เราควรกำหนดเวลาในกิจกรรม ต่างๆ ให้แน่นอนด้วยค่ะ เช่น "เวลาเล่นของลูกคือ 2 ชั่วโมงก่อนกินข้าว เข็มยาวจะชี้จากเลข 7 ถึงเลข 9 นะคะ" บอกลูกให้ดูที่เข็มนาฬิกาตอนเริ่มเล่น พอถึงเวลาจริง คุณแม่ก็ควรเก็บของเล่นทันที ลูกจะได้เรียนรู้เรื่องเวลาไปพร้อมๆ กับรู้ว่าเวลาเล่นคือกี่โมง และเลิกเล่นกี่โมง เล่นเสร็จแล้วต้องไปทำอะไรต่อ เป็นการสร้างกติการ่วมกันในครอบครัวอีกด้วย
เวลา > นาฬิกาบอกเวลา
หากคุณพ่อคุณ แม่ละเลยหรือตามใจยอมให้เจ้าหนูตื่น กินข้าวหรือนอนไม่เป็นเวลา เป็นการบ่มเพาะนิสัยเรื่อยเปื่อย ไม่รักษาเวลา ทำตามใจตัวเอง ฝึกลูกทำกิจวัตรประจำวันของตัวเองให้เป็นเวลาจนเคยชิน จะทำให้ลูกรู้โดยอัตโนมัติว่า เวลานี้ควรทำอะไร ไม่ว่าจะเป็นช่วงเปิดเทอม ปิดเทอม หรือวันหยุด ถือเป็นการปูพื้นฐานการสร้างวินัยและความรับผิดชอบต่อหน้าที่ของตัวเองด้วย ค่ะ
เรื่องเวลา ชวนสนุก
Let's play
มาประดิษฐ์นาฬิกาของเล่นกันเถอะ โดยใช้วัสดุและอุปกรณ์ที่หาง่ายในบ้าน เช่นจานกระดาษ ตัดตัวเลขจากปฏิทินมาทำเป็นตัวเลข ให้คล้ายกับนาฬิกาที่แขวนอยู่บนฝาบ้าน ลูกๆ จะได้ลองหมุนเข็มนาฬิกาเล่นได้ แต่ถ้าทำไม่ไหว นาฬิกาที่เป็นของเล่นก็ยังพอมีวางขายอยู่นะคะ
Let's reading
นิทานช่วยให้ลูกเข้า ใจเรื่องเวลามากขึ้นค่ะ ลองเลือกนิทานที่ใช้สอนเรื่องของเวลามาเล่าให้ลูกฟังบ้าง ระหว่างเล่าคุณแม่ยังสามารถหมุนเข็มนาฬิกาให้ลูกเข้าใจมากขึ้น นอกจากนี้แล้วคุณแม่ยังสามารถแต่งนิทานขึ้นมาเองก็ได้ เจ้าหนูจะได้เรียนรู้เรื่องเวลาแล้วยังสนุกสนานกับกิจกรรมที่ได้ทำร่วมกัน
Let's sing a song
ปัจจุบัน ยังมีเพลงสำหรับเด็ก ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับชีวิตประจำวันเพราะๆ มากมายมาเปิดให้ลูกฟังก็ได้ เด็กๆ ก็จะได้เรียนรู้ไปด้วยจากการฟัง หรือจะช่วยกันแต่งเพลงร้องกันเองภายในครอบครัวก็ได้ค่ะ
นอกจากความ รู้และความสนุกสนานที่เด็กๆ จะได้จาก "เวลา" แล้ว สิ่งที่สำคัญอีกอย่างที่คุณพ่อคุณแม่ไม่ควรมองข้ามก็คือการเป็นตัวอย่างของ การเห็น "ค่า" ของเวลาและความ "ตรงต่อเวลา" ที่เด็กจะซึมซับรับจากคุณไปอยู่ตลอดด้วยค่ะ
ขอบคุณ มัมมี่พีเดีย
จับตาลูกก่อนเกิดปัญหาใจ
พ่อแม่เองต้องหมั่นเปิดใจ สังเกตและสัมผัสลูกของเราด้วยใจ
เคล็ดลับที่จะทำให้อ่านบทความนี้แล้วนำไปใช้ได้ อย่างได้ผล ไม่ใช่ได้ความแต่คลุมเครือ คุณพ่อคุณแม่เองต้องหมั่นเปิดใจ สังเกต และสัมผัสเด็กๆ ลูกของเราด้วยใจ เรื่องของใจก็ต้องใช้ใจเข้าจับด้วย ว่างั้นเถอะถ้าทำอย่างนี้ ลูกจะออกสัญญาณมาแบบไหนไม้ไหนก็จับได้หมดไม่หลุด อย่าไปยึดแค่ตามตัวหนังสือเท่านั้น ทำนองเดียวกับว่า รู้ว่าเพลงเพราะก็ด้วยการฟัง ไม่ใช่มองที่ตัวโน้ต (ยกเว้นคนที่เชี่ยวชาญจริงๆ ที่อ่านโน้ตก็มีเสียงเกิดในหัวตามแล้ว) จะว่าไป ถ้าเราตั้งใจเลี้ยงลูกไม่น้อยไปกว่าตั้งใจทำมาหาเงิน แบบที่เราคิดพลิกแพลงให้ได้รายได้เพิ่ม ตลอดเวลา เรื่องนี้คงไม่ยากเกินไปนักที่ว่าต้องเปิดใจก็คือ เราเองต้องรับได้ว่า เด็กทุกคนมีจุดที่สามารถปรับปรุงให้ดีกว่าที่เป็นได้ ไม่มีใครสมบูรณ์แบบ ถ้าเราเองหรือใครเห็นว่าลูกของเราอะไรๆ ก็ดีซะหมดแล้ว อย่าเพิ่งปฏิเสธว่า ลูกฉันจะมีปัญหาได้ยังไง แล้วพานโกรธคนทักที่ ว่าต้องสังเกต ก็คือ เราต้องระแวด ระไวกับความเปลี่ยนแปลงในตัวลูกเรา หมั่นสังเกตตรวจตรา ขนาดรถคุณยังเติมน้ำเติมลม ถ่ายน้ำมันเครื่อง ไม่ปล่อยตามธรรมชาติหรือยถากรรมเกินไป แต่ก็อย่าไวกับทุกอย่างเกินไป จนเว่อร์ การอาศัยพัฒนาการโดยเฉลี่ยของเด็กอย่างที่เคยได้ ยินได้เห็นมาเป็นเกณฑ์ อาจเป็นแนวทางที่เราใช้สังเกตลูกได้ระดับหนึ่ง แต่ก็ต้องสัมผัสลูกด้วยใจด้วย คือสามารถเข้าใจได้ว่า ถ้าเราเป็นเขาในวัยนั้นเราจะรู้สึกอย่างไร ไม่คิดอย่างคนในวัยเราคิด หรือถ้าไม่เข้าใจก็คุยถามเขาดู ขั้นต่อไปก็ลองมาดู ว่า อะไรหนอที่อาจเป็นอุปสรรคทำ ให้ลูกเราเริ่มลำบาก เริ่มมีปัญหาบ้าง เริ่มจากรอบๆ ตัวเด็ก มองครอบครัวของเราเองก่อนว่า อยู่ในช่วงเวลาที่มีการเปลี่ยนแปลงกับครอบครัวบ้างหรือเปล่า ไม่ว่าในแง่ที่เราว่าดี อย่างย้ายบ้านใหม่ มีน้องใหม่ พี่สอบเอ็นทรานซ์ได้ พ่อแม่ได้ไปเที่ยวเมืองนอก หรือไม่ดี อย่างพ่อแม่ทะเลาะกัน เงินทองไม่พอใช้ เลยไปถึงว่ามีสมาชิกในบ้านตาย เจ็บป่วยกะทันหันหรือเรื้อรังขึ้นมาในบ้าน การหย่าร้าง ล้วนแต่มีผลกระทบกับสมาชิกทุกคน รวมทั้งเด็กๆ ด้วยเสมอ ไม่มีคำว่าเรื่องของผู้ใหญ่เด็กไม่ต้องมายุ่งเครียด (เดี๋ยวเด็กจะบอกว่า สอบคะแนนไม่ดีเรื่องของเด็ก ผู้ใหญ่ไม่ต้องมาเครียดบ้าง)สิ่งแวดล้อมรอบตัวเด็กๆ อีกอย่างก็คือ โรงเรียน ซึ่งได้แก่ เรื่องเพื่อนฝูง การเรียน และครู ซึ่งไม่ว่าจุดใดเกิดปัญหาขึ้น ก็อาจส่งผลต่อเด็กได้อย่างมาก
ดังนั้น เมื่อใดก็ตามหากมีสถานการณ์เหล่านี้เกิดขึ้น นอกจากใจเราจะมุ่งแต่ส่งกองหน้าไปรบกับปัญหาแล้ว คงต้องมองลูกๆ ของเราไปพร้อมกันด้วย เพราะบางทีเราจะ เหมือน "ลืม" ทัพหลวงของเราว่าเดินไปด้วยกันไม่ไหว ไม่ทัน หรือทัพหลวงอาจไม่เข้าใจว่า ทัพหน้าทำอะไรกันอยู่บางทีเราอาจไม่ลืม แต่ก็คิดว่าเด็กน่าจะเข้าใจได้เอง หรือพอเด็กเกิดปัญหาการปรับตัวขึ้นแล้ว ไม่ได้เฉลียวใจ กลับคิดว่าเด็กมาสร้างภาระเพิ่มให้เสียอีก อย่างพ่อ แม่ทะเลาะกันบ่อยๆ เด็กๆ กลุ้มใจเริ่มเรียนไม่ดี อยากให้แม่มานั่งติวให้ไม่งั้นไม่ทำงาน แม่ก็จะยิ่งเหนื่อยหงุดหงิด บางทีบ่นว่าลูก หรือส่งลูกไปเรียนพิเศษเสียเลย ลูกก็เลยไปติดเพื่อน หนักเข้าไปอีก อีกเรื่องที่ทำให้เด็กต้องปรับตัวอยู่ตลอดเวลา และบางทีจะเกิดปัญหาได้ก็คือ เด็กเองโตขึ้นทุกวัน ต้องฟันฝ่าตามพัฒนาการทางจิตใจต่างๆ มากมาย ซึ่งไม่ใช่ว่าถึงเวลาเด็กก็เป็นเอง อย่างเช่นเรื่องการรู้และแสดงออกตามเพศของตัว หรือความรับผิดชอบในความคาดหวังจากพ่อแม่ โรงเรียน หรือด้วยตัวเด็กเองก็ตาม ความรู้เรื่องพัฒนาการแบบนี้มีใน หนังสือเยอะแยะไปหมดแล้ว คงช่วยให้คุณพ่อคุณแม่คาดได้ว่า ลูกเราอายุแค่ไหน ต้องการอะไร (นอกเหนือไปจากว่า อายุเงินฝากกี่เดือนแล้วได้ดอกเบี้ยเท่าไร ) อยากให้มองว่า เด็กไม่ได้จงใจส่งสัญญาณเรียกร้องความสนใจให้ใครรู้หรอก ตามปกติ เมื่อเด็กเขาเจอเรื่องยากลำบาก เขาก็จะต่อสู้ไปตามนิสัย ประสบการณ์ที่เคยติดตัวมา ซึ่งโดยเฉลี่ยแล้วก็มักผ่านได้โดยดี (ไม่ต้องเลือกใหม่สามสี่รอบแบบ สว.)
สัญญาณเตือนแบบไหนอันตราย?
สิ่งที่นับว่าเป็นสัญญาณไม่ดีแล้วก็คือ เมื่อลูกเลือกวิธีที่ไม่เข้าท่ามาแก้ปัญหา ยิ่งใช้ก็ยิ่งแย่ หรือหมดมุขไม่รู้จะทำยังไงต่อแล้ว เราถึงได้นับอย่างนั้นเป็นสัญญาณที่ต้องเข้าช่วยมาถึงเรื่องว่า เด็กจะส่งสัญญาณเย้วๆ ให้เราตีความแบบไหนได้บ้างคน ที่เดินมาบอกเองว่า กลุ้มใจก็พอมี แต่ไม่เยอะมาก เพราะบางทีเด็กไม่สบายใจแต่บรรยายไม่ถูก เหมือนบางเพลงเราฟังว่าเพราะ แต่ไม่รู้จะบรรยายยังไงเด็กบางรายก็เกรงใจไม่อยากบอกพ่อแม่ คิดว่าเดี๋ยวก็หายเอง (ก็ทำนองเดียวกับผู้ใหญ่บางรายละครับ )ที่ ร้ายก็คือ เด็กก็เคยพยายามส่งซิกแล้ว แต่พ่อแม่กลับว่าเด็กว่า ไม่น่าคิดมาก ไม่ซื้อความรู้สึกของเด็ก แล้วปิดการเจรจา เด็กก็เลยปิดการขายไม่ลงถ้า จะบอกง่ายที่สุดก็คือ สัญญาณอย่างว่าจะเป็นแบบไหนก็ได้ สัญญาณอาจได้แก่การถดถอย หมายถึงว่า เด็กกลับไปเหมือนเด็กที่เล็กกว่า ไม่สมอายุ เช่นเคยนอนคนเดียวได้ กลับกลัวติดแม่แจ หรือกลับไปปัสสาวะรดที่นอนเหมือนตอน 2-3 ขวบ พูดยานคาง ไม่ชัด กัดเล็บ แบบนี้เราต้องเริ่มสนใจ บางทีเด็กอาจแสดงสัญญาณโดยเหม่อลอย ไม่ยิ้มแย้ม แยกตัว ไม่อยากเสวนากับใคร อย่างนี้พ่อแม่มักไม่พลาด เพราะเห็นได้ชัด
อีกขั้วก็คือ เด็กอาจกลับนิสัยจากที่เคยสงบเรียบร้อย กลายเป็นต่อต้าน ดื้อ ก้าวร้าว มาอาการนี้ พ่อแม่มักหลง ไม่รับสัญญาณ แต่มักเป่าแตรรบใช้อำนาจกำลังปราบกบฏให้ เด็กกลับเป็นเมืองขึ้น ซึ่งมักทำให้เรื่องบานปลาย สัญญาณที่หมอได้เจออยู่เสมอก็คือ เด็กบอกอาการป่วยโน่นนี่อยู่เรื่อย ที่แชมป์ก็คือปวดหัวปวดท้อง (บางรายลามไปปวดก้านคอ ใบหู) โดยที่ไปหาหมอเก่งๆ ตรวจมาเยอะแยะ แล้ว หมอก็ส่ายหน้าหาโรคให้ไม่ได้ พบไม่น้อยว่าเกิดปัญหาในใจขึ้นมาแล้ว อาการอย่างนี้มักมาร่วมกับการที่เด็กจะไม่ยอมไปโรงเรียนคู่กันด้วยสัญญาณ อย่างสุดท้ายที่จะยกตัวอย่างให้ฟังคือ เรื่องของสรีระร่างกายที่เปลี่ยนไป เช่น นอนไม่หลับ หรือนอนมากกว่าปกติ ฝันละเมอมากขึ้น กินอาหารไม่ลงหรือกินมากกว่าปกติ ถ่ายอุจจาระปัสสาวะราดบ่อย หรือไม่ยอมถ่าย กลั้นไว้ให้ผู้ใหญ่ขัดใจเล่น (ซึ่งมักพบว่าเป็นปัญหาในเด็กวัยอนุบาล) ถึงตอนนี้ คงได้ภาพของเด็กที่เริ่มส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือ SOS กับเราแล้ว อย่าลืมว่าเครื่องรับของเราต้องพร้อมเปิดรับอยู่ และพร้อมที่จะเข้าไปรับฟังช่วยเขาด้วย พ่อแม่เอง ถ้าคิดว่าสถานการณ์ช่วงไหนที่เล่าแล้วว่า เสี่ยงต่อการที่ลูกของเราจะปรับตัวยาก ก็ยิ่งต้องเพิ่มความเข้มของการมองหาให้มากขึ้นด้วยจริง อยู่ กระต่ายตื่นตูมจะกลุ้มใจเกินเหตุ แต่เด็กของเราอาจไม่รู้ว่า วิธีแก้ปัญหาของเขาอาจเหมือนกับการไปเขย่าโยกต้นให้มะพร้าวหล่นใส่หัวตัวเอง มากขึ้น ช่วยเขาหาทางที่ถูกแต่ต้นมือดีกว่าครับ
ขอบคุณ มัมมี่พีเดีย
Friday, April 16, 2010
เลี้ยงลูกแบบไหนประหยัด
ให้นมแม่
สอบ ถามบรรดาคุณพ่อคุณแม่ว่าเลี้ยงลูกเล็กสิ้นเปลืองกับอะไรมากที่สุด หลายๆ คนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ค่านม ถ้าไม่ได้เลี้ยงลูกด้วยนมแม่ นมแม่ทั้งไม่สิ้นเปลือง สะดวก ไม่ต้องมีอุปกรณ์อะไรมากมายแบบนมผสม และมีคุณค่าที่สุด ไม่ต้องกลัวว่าลูกจะแพ้แบบนมวัว ถ้ากลัวว่าคุณค่าในนมแม่จะไม่เพียงพอเมื่อ 6 เดือนขึ้นไป ก็เพิ่มอาหารเสริมที่มีคุณค่ามากขึ้นตามวัยของลูก อย่างนี้จะช่วยประหยัดกว่าให้ลูกกินนมผสมตั้งแต่แรกเกิดค่ะ
ใช้ ผ้าอ้อมผ้า
ผ้าอ้อมสำเร็จรูปเป็นความสิ้นเปลืองอีก อย่างที่คุณแม่หลายคนเอ่ยถึง มันอาจจะสะดวกสบาย (สำหรับคุณแม่) ไม่ต้องตื่นขึ้นมาเปลี่ยนผ้าอ้อมบ่อยๆ แต่ลูกอาจอับชื้นเป็นผื่นได้ โดยเฉพาะอากาศร้อนๆ แบบบ้านเรา จริงๆ แล้วผ้าอ้อมสำเร็จรูปเหมาะสำหรับใช้ในการเดินทางออกนอกบ้าน คุณแม่บางคนบอกว่าใช้เฉพาะกลางคืน ก็ช่วยให้ประหยัดได้เยอะทีเดียวค่ะ
ใช้ของมือสอง
อย่ารังเกียจเลยค่ะที่จะรับของใช้ต่อจากเพื่อนฝูงหรือญาติสนิท โดยเฉพาะจากคนที่มีลูกคนเดียว เด็กโตเร็วเสื้อผ้า ของใช้บางอย่างใช้ได้แป๊บเดียว จะซื้อใหม่ก็เสียดายเงิน ของใช้ที่ราคาแพง เช่น รถเข็น เตียงนอน car seat การรับช่วงต่อหรือซื้อต่อถือว่าช่วยประหยัดได้มาก
ซื้อของช่วงลดราคา
ห้างสรรพสินค้ามีช่วงเวลาลดสินค้าครั้งใหญ่ในช่วงกลางปีและใกล้สิ้นปี ซึ่งมีสินค้าคุณภาพดีราคาถูก คุณอาจหาซื้อเสื้อผ้าข้าวของใช้ของเด็กในช่วงนั้น แม้จะได้เสื้อผ้าที่ขนาดใหญ่กว่าวัยลูกก็อาจซื้อเก็บไว้ก่อนก็ได้
ซื้อเผื่อโต
เสื้อผ้า ของใช้ของลูกควรซื้อขนาดเผื่อโตไว้สักหน่อย เพราะลูกขวบแรกโตเร็วเหลือเกิน ของใช้บางอย่างอย่างเช่นรถเข็น เก้าอี้ เตียงนอน ควรซื้อที่สามารถดัดแปลง ใช้จนโตได้ แม้ว่าราคาจะแพงสักหน่อย แต่ระยะยาวแล้วคุ้มค่ากว่า
ใคร่ครวญก่อนซื้อ
บางคน ซื้อข้าวของเครื่องใช้ให้ลูกด้วยความรู้สึกว่ามันน่ารักดีอดซื้อไม่ได้ อย่าลืมถามตัวเองทุกครั้งก่อนซื้อว่า มันจำเป็นจริงๆ ไหม เช่น ชามข้าวลายการ์ตูนน่ารักราคา แพง เราอาจใช้ชามที่มีอยู่แล้วก็ได้ หรือเสื้อผ้าไม่จำเป็นต้องซื้อมาก เพราะลูกโตเร็วไม่ทันไรลูกก็จะใส่ไม่ได้ ของเล่นเด็กเช่นโมบายล์บางยี่ห้อราคาแพงมาก เราทำเองน่าจะได้ อย่าตัดสินใจซื้อของจากความน่ารักความสวยงามมาก หรือราคาที่ถูกมาก ควรดูคุณภาพและประโยชน์ใช้สอยว่าคุ้มค่าหรือไม่ดีกว่าค่ะ
เลี้ยงลูกเอง
คุณแม่บาง คนบ่นว่า ออกไปทำงานพอให้ได้ค่านม ค่าพี่เลี้ยงลูกซึ่งเดี๋ยวนี้ที่บอกว่า ผ่านการอบรมการดูแลเด็กมาแล้วเงินเดือนแพงพอๆ กับเงินเดือนคนจบปริญญาตรีใหม่ๆ เลย แถมบางบ้านยังต้องจ้างทั้งพี่เลี้ยงและคนทำงานบ้าน เพราะพี่เลี้ยงเธอเลี้ยงเด็กอย่างเดียว แม้แต่ซักผ้าอ้อมเธอก็ไม่ทำ ลองคิดใคร่ครวญดูใหม่ไหมคะว่า ถ้าเราออกจากงานมา เลี้ยงลูกเองจะคุ้มกว่าไหม ไหนจะไม่สิ้นเปลือง(ทั้งเงินเดือน ค่ากินอยู่) สบายใจไม่ต้อง กังวลว่าลับหลังเราเขาจะเลี้ยงดีไหม ทำอะไรลูกเราหรือเปล่า จะไว้ใจได้หรือเปล่า อีกทั้งเรายังไม่พลาดช่วงเวลามีค่าที่จะได้เห็นความน่ารัก การเติบโตอย่างรวดเร็วของลูกด้วย
คลอด ธรรมชาติ
บางคนตั้งใจผ่าคลอดด้วยเหตุผลอย่างเดียวจริงๆ คือกลัวเจ็บ ทั้งๆ ที่การคลอด ธรรมชาตินั้นปลอดภัยกว่าผ่าคลอดมากนัก มีผลดีต่อทั้งตัวแม่และลูกหลายอย่างด้วยกัน ซ้ำไม่เสียค่าใช้จ่ายมากด้วย และยิ่งคลอดโรงพยาบาลรัฐบาลยิ่งเสียค่าใช้จ่ายน้อยลงไปอีก จนทำให้รู้สึกว่าการมีลูกสักคนไม่ใช่เรื่องสิ้นเปลืองตั้งแต่ต้นทีเดียว
วางแผนครอบครัว
การวาง แผนครอบครัว นอกจากจะทำให้คุณมีเวลาเตรียมตัวให้พร้อมที่จะมีลูกคนแรกแล้ว ยังทำให้สามารถวางแผนว่าจะมีลูกคนต่อไปเมื่อไหร่ได้ด้วย หากคุณวางแผนมีลูกห่างกันสัก 3 ปี คุณสามารถเก็บอุปกรณ์ของใช้ไว้ให้ลูกคนต่อไปได้ เช่น เสื้อผ้า ผ้าอ้อม ขวดนม เตียงนอน รถเข็น การมีลูกคนที่สองที่สามก็จะไม่สิ้นเปลืองสักเท่าไร
ขอบคุณ นิตยสารรักลูก
Monday, April 12, 2010
วัยรุ่นสมาธิสั้นเป็นอย่างไร
เดี๋ยวนี้โรคที่ผู้ปกครองทั้งหลายรู้จักชื่อกันดีและนิยมรีบ พามาตรวจกับจิตแพทย์เด็กและวัยรุ่นมากที่สุดคือโรคสมาธิสั้นกับโรคออทิสติก ซึ่งการรวบรวมข้อมูลในประเทศไทย พบว่าสองโรคนี้รวมกันมีความชุกในเด็กมากกว่าร้อยละ 10 และผู้ปกครองของวัยรุ่นหลายคนก็ได้รับรู้ไปด้วยว่าลูกของตนมีอาการอย่างนั้น ตอนเด็กๆ ก็เลยพามาตรวจด้วยซะเลย เผื่อจะยังเป็นอยู่ ซึ่งวันนี้จะเล่าถึงอาการของโรคสมาธิสั้นในวัยรุ่นหลายๆ รูปแบบที่หมอเจอในประสบการณ์การทำงานนะคะ
เอ็ม อายุ 15 หน้าตาหงุดหงิด มากับคุณแม่สาวสวยหน้าเศร้า เขาบอกว่าแม่ให้ตำรวจไปจับเขามาจากร้านเกมทำให้เขาเสียหน้ามาก คุณแม่บอกว่าจำเป็นต้องทำเพราะเขาไม่เข้าโรงเรียนมาเป็นเดือนแล้วและญาติที่ เป็นหมอบอกว่าจำเป็นต้องบังคับรักษา เอ็มเรียนไม่เก่ง เอาแต่ใจ ใช้เงินไม่ยั้ง ขับรถเร็ว สูบบุหรี่ และโกหกตลอด แม่กลัวลูกจะเสียอนาคต
เอ หนุ่มหล่ออายุ 16 มาหาหมอกับแม่ครั้งแรกบอกเองเลยว่าตัวเองเป็นคนขอให้แม่พามาเพราะสงสัยว่า ตัวเองเป็นอะไรถึงสมาธิสั้นกว่าเพื่อนๆ เอสังเกตุว่าตอนที่โรงเรียนให้นั่งสมาธิหลับตา เออึดอัดมาก และต้องลืมตาก่อนใครๆทุกครั้ง เอจึงมีโอกาสเห็นว่าคนอื่นๆนั่งนิ่งได้อย่างไม่เห็นจะยากตรงไหน เขารู้สึกอยากรู้จริงๆว่าเขามีอะไรผิดปกติหรือเปล่า
ปิ่น สาวสวยปีหนึ่งอายุ 17 จากมหาวิทยาลัยหนึ่งที่แสนจะโรแมนติก มาหาหมอเองด้วยสีหน้าเศร้า เธอเพิ่งเลิกกับเพื่อนชายแสนดีที่บอกเธอว่าเขาทนเสียใจกับเธอไม่ไหวแล้วจึง ขอแยกทาง เธอเล่าว่าเธอก็เสียใจไม่แพ้กันที่ทำให้เขาน้อยใจ และโกรธเสมอๆเพราะเธอใจลอยบ่อยๆ เวลาคุยกัน และมักลืมนัดกับเขาเสมอ เขาคิดว่าเธอไม่ใส่ใจและชอบแก้ตัว แต่เธอยืนยันว่าเธอพยายามแล้วทำไม่ได้จริงๆ เธออยากความจำดีและไม่ใจลอย
เปา หนุ่มสมาร์ทร่างใหญ่จากคณะวิศวะ มากับพ่อแม่ซึ่งเป็นอาจารย์จากมหาวิทยาลัยชื่อดัง ต้องการจะปรึกษาเรื่องการย้ายมหาวิทยาลัย ซึ่งคุณพ่อคุณแม่กังวลว่าเขาย้ายมาแล้วหนึ่งครั้งและจะย้ายอีกเป็นเพราะอะไร เท่าที่คุยกันมายังงงๆเลยคิดว่าอยากให้จิตแพทย์ช่วยวิเคราะห์ที เพราะไม่อยากให้ลูกเสียเวลาอีกแล้ว เขาไม่เคยมีปัญหาการเรียนในสมัยอยู่ในโรงเรียนเลย พ่อแม่คาดว่าเป็นเพราะไม่ต้องบริหารจัดการเวลา และไม่มีอะไรให้ย้ายไปมาแบบในมหาวิทยาลัย
สรุปว่าพฤติกรรมที่ควรสงสัยว่าวัยรุ่นจะเป็นโรคสมาธิสั้นมีอยู่ 3 กลุ่มใหญ่ๆซึ่งเป็นอาการของการขาดความสามารถทั้งในการควบคุมสมาธิ การควบคุมการเคลื่อนไหว และการควบคุมอารมณ์ คือ
1. อาการสมาธิบกพร่อง เช่น ขี้ลืม ทำของหายบ่อย เบื่อง่าย ขี้เกียจ ขาดความอดทนพากเพียรที่จะทำงานที่ต้องใช้สมาธิให้สำเร็จ เลือกทำแต่สิ่งที่ชอบ สนุกสนานหรือไม่ต้องใช้สมาธิ เช่น ดูโทรทัศน์ เล่นเกมคอมพิวเตอร์ หลีกเลี่ยงที่จะเขียนหนังสือหรือทบทวนบทเรียน เปลี่ยนความสนใจบ่อย มักทำงานที่เริ่มต้นไว้ไม่เสร็จและเสร็จแล้วก็ไม่ตรวจทานให้รอบคอบ บางคนอาจเหม่อลอยหรือฝันกลางวันบ่อยๆ ผลงานมักออกมาไม่ดีเท่าที่ควรทั้งที่มีสติปัญญาที่จะทำได้ดีกว่านั้น
2. อาการอยู่ไม่นิ่ง เช่น ยุกยิกเวลาอยู่กับที่ กัดเล็บ ขีดเขียนหรือวาดรูปเลอะเทอะในสมุดเรียน ชอบทำกิจกรรมที่ได้เคลื่อนไหว อึดอัดเวลาไม่มีอะไรทำ พูดมาก
3. อาการใจร้อน หุนหันพลันแล่น เช่น หงุดหงิดง่าย ขี้โมโห อดทนรอคอยได้ยาก พูดโพล่งหรือพูดแทรก ทำอะไรไม่วางแผนล่วงหน้า ไม่คิดให้รอบคอบก่อนตัดสินใจทำอะไร มักมีปัญหากับคนรอบข้าง ขับรถเร็ว ชอบทำสิ่งที่ตื่นเต้นท้าทาย เก็บข้าวของไม่เป็นระเบียบ
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นอาการของวัยรุ่นแต่ละคนก็แตกต่างกันไปได้ขึ้นกับความ รุนแรงและอาการเด่นของคนคนนั้น พื้นอารมณ์ บุคลิกภาพ การปรับตัว และการดูแลช่วยเหลือที่ได้รับจากคนรอบข้างตั้งแต่วัยเด็ก และวัยรุ่นบางคนยังมีปัญหาอื่นร่วมด้วย เช่น ภาวะการเรียนรู้บกพร่อง ภาวะวิตกกังวล ซึมเศร้า ดื้อ เกเร เป็นต้น
คนที่เป็นโรคนี้ได้รับการยืนยันแน่ชัดว่ามีสมองทำงานผิดปกติในหลายๆ ส่วน ทั้ง brain stem, frontal lobe, basal ganglia, cerebellum และ corpus callosum ซึ่งปัจจัยที่พบว่าเกี่ยวข้องกับการเกิดความผิดปกตินี้คือ พันธุกรรม การที่มารดามีปัญหาขณะตั้งครรภ์ การที่มารดาใช้สารเสพติดรวมทั้งบุหรี่ และอาจเกี่ยวข้องกับอาหารและวิตะมินบางตัวด้วย ส่วนการเลี้ยงดูที่ไม่มีวินัย การดูโทรทัศน์หรือเล่นเกมไม่ใช่สาเหตุโดยตรงเพียงแต่เป็นเหตุกระตุ้นให้มี พฤติกรรมที่เป็นปัญหามากขึ้นเท่านั้น
มีการวิจัยมากมายที่แสดงให้เห็นว่ายาหลายประเภทสามารถช่วยแก้ไขปัญหาเหล่า นี้ให้ดีขึ้นได้ แต่ควรจะฝึกปรับพฤติกรรมด้านต่างๆด้วย เพราะยาช่วยให้สมองพร้อมที่จะเชื่อฟังตัวเรา แต่นิสัยหลายอย่างที่เราบกพร่องอยู่ก็จำเป็นสำหรับความสำเร็จนะคะ
Wednesday, April 7, 2010
ท่อน้ำตาลูกตัน ทำอย่างไรดี !
ท่อน้ำตาตัน หลายๆคนคงเคยได้ยินโรคนี้กันนะคะ ดิฉันประสบมากับตนเอง เพราะลูกชายคนเล็กเป็นอยู่คะ ตอนนี้เค้าก้อ 5 เดือนแล้ว แต่ยังเป็นไม่หายเลย ต้องรีบไปพบจักษุแพทย์แล้วคะ เจอบทความด้านล่างน่าสนใจมากเลยต้องรีบเอามาเก็บไว้ในนี้คะ
ภาวะท่อน้ำตาอุดตันในเด็กเป็นปัญหาที่พบ บ่อยมาก โดยพบได้อย่างน้อย 6 เปอร์เซ็นต์ของทารกแรกเกิด ลักษณะอาการโดยทั่วไป เด็กจะมีตาแฉะ น้ำตาไหลมาก ทั้งๆที่ไม่ได้ร้องไห้ ซึ่งในตอนแรกอาการตาแฉะจะมีเพียงน้ำตาใสๆ แต่ถ้าปล่อยทิ้งไว้จะพบว่าเด็กบางคนจะเริ่มมีขี้ตาเป็นสีเขียวมากขึ้น ซึ่งแสดงว่ามีเชื้อโรคเข้าไปและเกิดอาการติดเชื้อ ซึ่งอาการเหล่านี้คุณพ่อหรือคุณแม่จะสังเกตเห็นได้ตั้งแต่ลูกน้อยอายุ 2-3 สัปดาห์หลังคลอด
"พังผืด" ที่มาของการอุดตัน
ก่อน อื่นคงต้องรู้จักลักษณะทางกายภาพของทางเดินท่อน้ำตากันก่อน น้ำตาคนเราจะมีการหลั่งออกมาจากต่อมน้ำตาตลอดเวลาเพื่อให้ความชุ่มชื้นแก่ ดวงตา น้ำตาที่ออกมานี้จะถูกปั๊มเข้าถุงทางเดินน้ำตา โดยการกะพริบตาแล้วน้ำตาก็จะไหลลงท่อน้ำตาซึ่งเปิดเข้าในจมูก(ถ้าสังเกตดูจะ พบว่าเวลาเราหยอดตาแล้วรู้สึกขมๆในคอ)
โดย ส่วนใหญ่เด็กทารกที่มีท่อน้ำตาอุดตันมักเกิดจากมีแผ่นพังผืดปิดบริเวณปลายรู เปิดท่อน้ำตาในจมูก เมื่อมีแผ่นพังผืดปิดที่รูเปิดของท่อน้ำตาในจมูก จะทำให้น้ำตาขังเอ่อเข้าไปในลูกตา และเอ่อออกมาบริเวณดวงตาของเด็กในที่สุด
โดยตามธรรมชาติแล้ว ภาวะท่อน้ำตาอุดตันมักจะมีอาการดีขึ้นเองได้ถึง 90 เปอร์เซ็นต์ของผู้ป่วย แต่ก็มีกรณีที่เป็นแล้วไม่ได้รับการดูแลที่ถูกต้อง อาการที่เป็นอยู่ก็ไม่สามารถหายได้เอง เหล่านี้จะทำให้น้ำตาที่ขังอยู่ในตานานๆมีเชื้อโรคมาเจริญเติบโต เกิดการติดเชื้อบริเวณทางเดินน้ำตา ซึ่งอาจลุกลามต่อไป เข้าไปในเยื่อบุตา และกระจกตา ทำให้เกิดเยื่อบุตาอักเสบและกระจกตาอักเสบได้
น้ำตามาก สัญญาณโรคของ "ดวงตา"
แม้ลักษณะของภาวะที่เด็กมีน้ำตาขังอยู่ในตามากจะ เป็นสัญญาณบอกถึงอาการของท่อน้ำตาอุดตัน แต่ก็ไม่ใช่อาการบ่งชี้แค่เพียงโรคนี้เท่านั้นนะครับ เพราะการที่เด็กมีน้ำตามากอาจเกิดจากเยื่อบุตาอักเสบ กระจกตามีรอยถลอก กระจกตาอักเสบ มีเศษผงหรือสิ่งแปลกปลอมในตาหรือภาวะต้อหินในเด็กแรกเกิดก็เป็นได้ โดยเฉพาะภาวะต้อหินนี้นับว่าเป็นอาการที่รุนแรงเพราะหากเกิดในเด็กทารก แล้วจะมีผลทำให้ความดันภายในลูกตาสูงมาก เด็กจะมีอาการกระจกตาบวม และมีน้ำตาไหลมาก ซึ่งภาวะดังกล่าวถ้าทิ้งไว้ไม่ทำอะไร อาจตาบอดได้ ฉะนั้นถ้าลูกน้อยมีอาการเคืองตา น้ำตาไหลมาก ควรรีบพามาพบจักษุแพทย์ครับ
ยังมีภาวะท่อน้ำตาอุดตันอีกชนิดหนึ่งซึ่งนอกจาก จะมีการอุดตันบริเวณรูเปิดในจมูกแล้วยังมีการอุดตันของท่อน้ำตาก่อนเข้าถุง ทางเดินน้ำตา ซึ่งภาวะนี้เรียกว่า Mucocele ของถุงน้ำตา มักพบในเด็กแรกเกิด ซึ่งนอกจากจะมีอาการน้ำตามากแล้วยังจะมีก้อนนูนสีออกน้ำเงินบริเวณหัวตาด้าน ข้างจมูก ถ้ามีอาการเหล่านี้ควรรีบพาไปพบจักษุแพทย์ซึ่งจะให้การรักษาด้วยวิธีนวด บริเวณหัวตาร่วมกับการให้ยาปฏิชีวนะหยอดและป้ายตา ถ้าไม่ดีขึ้นมักต้องใช้แท่งโลหะ(Probe)แทงเพื่อเปิดรูท่อน้ำตา
ช่วยลูกได้ด้วยสองมือพ่อแม่
ส่วนใหญ่แล้วภาวะท่อน้ำตาอุดตันมักมีอาการดีขึ้น เองได้เมื่อทารกอายุได้ประมาณ 1 ปีดังที่ได้กล่าวไปแล้วเบื้องต้น เพราะฉะนั้นการรักษาโดยทั่วไปจักษุแพทย์มักจะแนะนำให้คุณพ่อหรือคุณแม่นวด บริเวณหัวตา ซึ่งเป็นตำแหน่งของถุงทางเดินน้ำตา
การนวดนี้เพื่อเป็นการเพิ่มความดันภายในท่อน้ำตา ซึ่งจะดันให้แผ่นพังผืดซึ่งปิดบริเวณรูเปิดในจมูกเปิดออก นอกจากการนวดแล้วแพทย์ก็มักจะให้ยาปฏิชีวนะหยอดและป้ายตาด้วย
การนวดบริเวณหัวตาต้องนวดบ่อยๆ วันหนึ่งทำหลายๆครั้ง ถ้าวิธีการนวดหัวตาร่วมกับการให้ยาปฏิชีวนะไม่ได้ผล จักษุแพทย์จะใช้แท่งโลหะ(Probe)ใส่ไปในท่อน้ำตาเพื่อเปิดท่อน้ำตาที่อุดตัน ให้เปิดออก ซึ่งถ้าไม่ได้ผลและเด็กยังมีอาการอยู่ จักษุแพทย์มักจะลองให้แท่งโลหะขยายท่อน้ำตาซ้ำอีก 2-3 ครั้ง ร่วมกับการหักกระดูกอ่อนในโพรงจมูก ถ้ายังไม่ได้ผลอีก จักษุแพทย์จะต้องใช้ท่อซิลิโคนคาไว้ในท่อน้ำตา หรือใช้บอลลูนใส่ในท่อน้ำตาแล้วขยายท่อน้ำตา ถ้าทุกวิธีที่กล่าวมาไม่ประสบความสำเร็จ มักลงท้ายด้วยการผ่าตัดเปิดท่อทางเดินน้ำตาบริเวณถุงทางเดินน้ำตาให้มีทาง ติดต่อเข้าไปในจมูก เพื่อให้น้ำตาไหลผ่านเข้าจมูกได้ครับ
การ ใช้แท่งโลหะ(Prob)ขยายท่อน้ำตานั้น ก่อนที่จะใส่แท่งโลหะ(Prob) เข้าไปจักษุแพทย์ก็มักจะใช้ยาหยอดหรือในบางรายก็จะใช้การดมยาสลบให้แก่เด็ก ก่อน ส่วนการผ่าตัดอื่นๆเรามักทำในเด็กที่ได้รับการดมยาสลบเพื่อที่เด็กจะได้ไม่ รู้สึกเจ็บครับ
ความจริงแล้ว โรคท่อน้ำตาอุดตันในเด็ก ถึงแม้จะป้องกันไม่ได้แต่สามารถรักษาให้หายได้ และก็ไม่ได้เป็นโรคที่รุนแรงอะไร คุณพ่อคุณแม่อย่าเพิ่งกังวลไปครับ วิธีการที่จะดูแลก็อย่างที่แนะนำไปแล้ว ซึ่งเบื้องต้นคุณพ่อคุณแม่ก็สามารถดูแลด้วยตัวเองได้ เพียงแต่สิ่งสำคัญคือควรจะรีบพาลูกมาพบจักษุแพทย์เพื่อที่จะได้รับคำแนะนำ ที่ถูกต้องถึงวิธีการปฏิบัติโดยเฉพาะการนวดบริเวณหัวตา ไม่ควรไปหัดทำเองโดยไม่ได้รับคำแนะนำจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโดยเด็ดขาด
หมอ ขอย้ำว่า แม้โรคนี้จะไม่ร้ายแรง แต่ก็ควรได้รับการปรึกษาจากจักษุแพทย์นะครับ เพราะฉะนั้นถ้าเห็นว่าเจ้าตัวเล็กมีน้ำตาเอ่อในดวงตาก็ควรรีบพาไปพบแพทย์ เพื่อจะได้วินิจฉัยและรักษาอย่างเหมาะสมและถูกต้องต่อไป ทั้งหมดนี้ก็เพื่อให้ลูกมีสุขภาพของดวงตาที่สมบูรณ์ยังไงละครับ
ขอบคุณ มัมมี่พีเดียมากคะ
Friday, April 2, 2010
Easy Fit After Work
2. Home Foot Spa: เอากะละมังใบเหมาะขนาดวางเท้าทั้งสองได้สบายๆ ใส่น้ำอุ่นๆ หยดน้ำมันหอมๆ กลิ่นลาเวนเดอร์ กลิ่นกุหลาบ หรือถ้าจะโรยกลีบกุหลาบหรือลอยดอกมะลิก็ไม่ว่ากัน แช่เท้าสักพักในน้ำอุ่นๆ ขณะแช่น้ำก็ขยับปลายเท้านิ้วเท้าไปเรื่อยๆ ยิ่งดีใหญ่
3. Neck Excercise: พอสบายเท้าแล้วก็มายืดคลายเนื้อต้นคอกัน คุณแม่นั่งสบายๆ เอามือทั้งสองประสานแล้วมาวางที่ศีรษะเหนือท้ายทอย ค่อยๆ กดมือพร้อมกับก้มศีรษะให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ หายใจเข้าออกลึกๆ พร้อมกับนับ 1-10 แล้วเงยหน้าขึ้นช้าๆ ท่านี้จะช่วยให้เลือดไปเลี้ยงสมองดีขึ้นจากการผ่อนคลายของกล้ามเนื้อต้นคอ ต่อไปยังคงวางมือประสานกันที่เหนือท้ายทอยดังเดิม แต่พยายามดันศีรษะต้านแรงกับมือที่ทิ้งน้ำหนักบนศีรษะ นับ 1-10
4. Twist...Left & Right: ท่าสุดท้ายคุณแม่ลุกขึ้นยืนหลังตรงแยกปลายเท้าพอสมควร มือวางที่บั้นเอว ค่อยๆ บิดตัวไปทางซ้ายแล้วกลับหันหน้าตรง บิดตัวทางขวาแล้วหันหน้าตรง ทำข้างละ 5 ครั้ง แล้วนั่งพักผ่อนตามอัธยาศัย อย่าลืมว่าควรพักสัก 15-20 นาที ก่อนจะลุกไปกินอาหารเย็น หรือจะพักนานกว่านั้นก็ได้ตามแต่สะดวก
ทำทุกท่าครบแล้วอย่าลืมการ ฝึกขมิบและการบริหารหน้าอกนะคะ การบริหารยิ่ง Fit & Firm ประโยชน์ล้นเหลือเชียวล่ะ
ขอบคุณบทความดีๆจาก momypedia คะ
เหตุผลของ เด็กก้าวร้าว
สิ่งที่เด็กสมัยก่อนได้เรียนรู้มากกว่าเด็กสมัยนี้ เช่น
1. การบังคับ เด็กๆ สมัยก่อนจะถูกบังคับมากจนอาจจะมากเกินไป แต่ก็ทำให้หลายๆ คนรู้จักวิธีบังคับและสามารถใช้วิธีนั้นกับตัวเองในเรื่องที่จำเป็นต้องทำ
2. การควบ คุม เด็กๆ ถูกควบคุมมากกว่าสมัยนี้อย่างเห็นได้ชัดกระดิกตัวไม่ค่อยได้ แต่ในที่สุดเมื่อเป็นอิสระจากการควบคุมของพ่อแม่ เด็กๆ กลับได้ทักษะในการควบคุมตัวเองติดมาด้วย
3. การอด กลั้น เด็ก ๆ ถูกห้ามไม่ให้แสดงความโกรธ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับพ่อแม่ ครูบาอาจารย์ ทั้งที่บางทีผู้ใหญ่ก็เป็นฝ่ายผิด แต่ก็ยังไม่ได้รับอนุญาตให้ตอบโต้ ถูกหัดให้อดกลั้น จนข่มใจเป็น
4. ความอด ทน เด็กๆ ถูกกดดันให้ทำเรื่องยากๆ งานหนักๆ สารพัดทั้งการบ้าน ทั้งงานฝีมือ พ่อแม่ก็เหงื่อตกไปด้วย เคี่ยวกรำกันไปนานๆความลำบากก็กลายเป็นเรื่องที่ทนได้
ส่วนครอบครัวสมัยนี้เริ่มให้ความสำคัญกับ คุณสมบัติ สี่ประการที่กล่าวมาน้อยลง หันไปเน้นที่การแสดงออก การอำนวยความสะดวก ขาดการปลูกฝังคุณลักษณะทั้งสี่ข้อ เป็นทั้งกับบ้านที่ยากจนพ่อแม่ไม่มีเวลาเลี้ยงดูหรือบ้านที่ร่ำรวยแต่ไม่ ยอมหาเวลาดูแลลูก ซึ่งคุณลักษณะทั้งสี่นี้มีประโยชน์มาก
คุณลักษณะ ทั้งสี่ประการมีฐานรากตัวเดียวกัน คือ control พูดให้ชัดๆ ก็คือ self-control เริ่มสร้างได้ตั้งแต่อายุ 2 ขวบครับ และต่อเนื่องไปเรื่อยๆ ต้องมีการฝึกฝนอยู่ตลอดเวลา ต้องไม่มากเกินไปและไม่น้อยเกินไป ถ้าเป็นคนที่เคร่งครัด บังคับตนเองมากเกินไปก็ไม่ดี แต่ถ้าไม่มีเลยก็ไม่ดียิ่งกว่า บทเรียนบทแรกของ self-control คือ การคุมกับ อึ ฉี่ เป็นครั้งแรกที่เด็กๆ ได้รู้ว่าฉันคุมได้และทำตามที่สังคมต้องการได้ด้วย ก่อนหน้านี้อาจจะมีความรู้สึกนี้บ้างจากการยืนเป็นและเดินได้ ถ้าพูดได้เด็ก ๆ อาจจะบอกว่า
“ไชโย เดินได้แล้ว” “เย้ ฉี่ลงส้วมแล้ว เหมือนพ่อเลย ๆ”
บท เรียนที่ยากที่สุดของ self-control เห็นจะเป็นความดื้อครับ เพราะเป็นความขัดแย้งระหว่าง “หนูอยาก” กับ “พ่อให้ไม่ได้” กลับไปดูคุณสมบัติสี่ข้อที่ว่าสิครับ ต้องใช้ชุดนั้นแหล่ะถึงจะจัดการปัญหานี้ได้ พอ “หนูอยาก” แต่ “พ่อไม่ให้” การอาละวาดก็เกิดขึ้น ตัวก้าวร้าวที่นอนสงบในร่างเด็กน้อย ก็ตื่นจากหลับลุกขึ้นควบคุมเจ้าตัวเล็ก ถ้าเราช่วยให้ลูกชนะตัวก้าวร้าวได้ มันก็จะแอบๆ ไปสักพักแล้วกลับมาใหม่ วันแล้ววันเล่าจนวันที่ลูกเป็นวัยรุ่นเจ้าตัวก้าวร้าวนี้จะโตเต็มที่ พร้อมๆ กับวัยฉกรรจ์ของลูก ยกนี้จะเป็นยกสุดท้าย ถ้าลูกชนะได้ตอนเป็นผู้ใหญ่ ตัวก้าวร้าวจะตัวเล็กกว่านี้ลูกจะชนะได้อีก
ถ้า ตอนเล็กเตรียมลูกมาดีก็ไม่ต้องใช้พลังมาก แต่ถ้าเตรียมมาไม่ค่อยดี ก็ขอให้ The force be with you จะใช้ดาบเลเซอร์ หรือหวายอาญาสิทธิ ก็เลือกเอานะครับ
ตัดมาจากบทความของคุณหมอนุ
ลงใน momypedia
ขอบคุณคะ