Friday, October 9, 2009
การเลือก เสื้อผ้าเด็ก
การเลือก เสื้อผ้าสำหรับลูกน้อย
ลูกน้อย ของคุณๆที่ถือกำเนิดขึ้นมา คุณพ่อและคุณแม่ จำเป็นต้อง จัดเตรียม
เสื้อผ้า หรือ ผ้าอ้อมที่สะอาด เพื่อใช้ผลัดเปลี่ยน ให้เพียงพอ โดยสิ่งที่ควร
คำนึงถึง ในการเลือกซื้อ หรือ จัดเตรียม เสื้อผ้าสำหรับเด็กอ่อน หรือ ลูกน้อย
ของคุณๆ มีดังนี้ค่ะ
1.ควรเป็นเส้นใยธรรมชาติ เช่น เส้นใยฝ้าย ซักล้างง่าย สามารถใช้กับเครื่องซักผ้าได้
2.สวมใส่ สะดวก สบาย สามารถถอดเปลี่ยนได้ง่าย เพราะเด็กอ่อน จะขับถ่ายบ่อย
3.ควรเป็น ชุดที่สามารถ รักษาอุณหภูมิ ของร่างกายได้ดี เช่น ชุดเสื้อกางเกงติดกัน
4.ปลายแขนเสื้อ หรือปลายขา ควรเป็นแบบธรรมดา และถุงมือ ถุงเท้า ควรแยกชิ้น
ต่างหาก
5.คอเสื้อเด็ก ควรกว้าง ยืดได้สะดวกในการสวมใส่
6.กางเกงเด็ก ควรเป็น แบบยางยืด หรือเชือกผูก แบบง่ายๆ แต่ไม่ควรจะรัดแน่น
จนเกินไป
7.เมื่ออากาศเย็น ควรให้ลูกน้อย ของคุณสวมใส่ ถุงมือ หรือ หมวก
เพื่อรักษาความอบอุ่น
8.ในวันที่อากาศร้อน หรือ ต้องออกไปเจอแสงแดด ควรให้ลูกน้อย สวมใส่
หมวกกันแดด
9.รองเท้า หรือ ถุงเท้า ควรเป็นแบบ ผ้ายืด ที่อ่อนนุ่ม ไม่ควรสวมแบบที่คับ
จนเกินไป
10.ไม่ควรใช้ ผงซักฟอก ที่มีเอนไซม์ย่อยสลายสิ่งสกปรก หรือ น้ำยาปรับผ้านุ่ม
เพราะ จะทำให้ระคายเคือง ต่อผิวหนังของ ทารก ควรใช้ผงซักฟอก สำหรับ
เด็กอ่อน โดยเฉพาะ
รายการเสื้อผ้าเด็ก และ ของใช้เด็ก ที่จำเป็นมีดังนี้ค่ะ
- ชุดลำลองผ้าฝ้าย หรือ ชุดที่สวมใส่สบาย
- เสื้อกล้าม หรือเสื้อยืด แบบเปิดปิดเป้าได้
- ชุดนอนยาว หรือชุดที่ติดกัน เพื่อรักษาอุณหภูมิ
- เสื้อกันหนาว หรือ กันลม ในกรณีหน้าหนาว หรือ ออกนอกบ้าน
- ชุดออกนอกบ้าน ควรเป็นชุดที่ สวมใส่สบาย น่ารัก
- หมวกไหมพรม หมวกกันแดด
- ถุงเท้า ถุงมือ
- รองเท้า
ที่สำคัญ การเลือกขนาด เสื้อผ้าเด็ก ควรเผื่อขนาดสำหรับแผ่นรองกันเปื้อน หรือ
ผ้าอ้อมสำเร็จรูป ไว้ด้วย
จัดกระเป๋า เตรียมตัวคลอด
ประมาณ 1 เดือนก่อนถึง กำหนด คลอด คุณแม่ ควรเตรียมสิ่งของที่จำเป็นสำหรับตัวเองและ ลูกน้อย จัดลงกระเป๋าไว้ให้พร้อม เผื่อว่า เจ็บท้องคลอด จะได้หยิบฉวยได้ทันที สิ่งที่ควรเตรียมไป รพ มีดังนี้
สำหรับคุณแม่
1.ของใช้ส่วนตัว เช่น สบู่ แชมพู แปรงสีฟัน ยาสีฟัน โลชั่น ฯลฯ ใน รพ ส่วนใหญ่ ก็มีของใช้พื้นฐานเหล่านี้ให้อยู่แล้วแต่อาจไม่ถูกใจ คุณแม่ ดังนั้นก็ควรจะเตรียมมาเองดีกว่าค่ะ
2.เสื้อชั้นใน แบบให้นมลูก ถ้าคุณแม่กะว่าจะ ให้นมลูก เอง
3.กางเกงชั้นใน
4.ผ้าอนามัย แบบซึมซับพิเศษ 1-2 ห่อ
5.ชุดใส่กลับบ้าน
สำหรับ ลูกน้อย
1.ชุดใส่กลับบ้าน อาจเป็น เสื้อ กางกาง แยกชิ้น หรือชุดหมี ก็ได้ค่ะ พร้อมด้วย ถุงเท้า ถุงมือ หมวก
2.ผ้าห่อตัวเด็ก
3.ขวดนมขนาดเล็ก 2 ขวด อันนี้แล้วแต่ ร.พ นะคะอาจแตกต่างกัน บาง ร.พ อาจไม่ได้ให้เตรียมไป
อ้อ อย่าลืมว่า เสื้อผ้าลูก น้อย และ ผ้าห่อตัว ต้องซักก่อนนะคะเพราะเสื้อผ้าใหม่อาจมีฝุ่นหรือสารเคมีซึ่งระคายเคืองผิวลูก ค่ะ สำหรับบางคนที่มีความเชื่อว่าไม่ควรเตรียมไว้ก่อนก็ทำlist ไว้ให้คุณพ่อเด็กหรือญาติๆ เตรียมให้ก็ได้ค่ะ
อาการ คุณแม่หลังคลอด
Symtom after gave birth
หลังจากคลอด คุณแม่ จะรู้สึกอ่อนเพลียและเจ็บระบม นอกจากนี้ คุณ แม่ ยังต้องเผชิญกับอาการต่างๆดังนี้ค่ะ
1.มีน้ำคาวปลา จะมี น้ำคาวปลา ซึ่งก็คือเลือดที่ไหลออกมาจากแผลที่เกิดจากการหลุดลอกตัวของ รก ในช่วงแรกจะเป็นสีแดงสดและออกมากหลังจากนั้นจะลดน้อยลงและมีสีจางลง ซึ่งใช้เวลาประมาณ 2-6 สัปดาห์
2.เจ็บแผลที่ฝีเย็บ มักเจ็บมากในช่วง1-2 วันแรก การใช้น้ำอุ่นทำความสะอาดจะช่วยบรรเทาอาการเจ็บได้ การทำความสะอาดต้องเช็ดจากด้านหน้าไปด้านหลัง หากเจ็บแผลมาก หรือ อักเสบอาจนั่งแช่น้ำอุ่นผสมน้ำยาฆ่าเชื้อ(1ช้อนโต๊ะ/น้ำอุ่น1ลิตร) ประมาณ10-15 นาที จากนั้นซับให้แห้ง อาจใช้เครื่องเป่าผมเป่าลมให้แห้ง
3. ปวดท้องน้อย จะรู้สึก ปวดเกร็ง ในช่องโดยเฉพาะเมื่อ ลูกดูดนม เนื่องจาก มดลูกหด ตัวเพื่อกลับสู่สภาพเดิม ถ้าปวดมากจนทนไม่ไหว ให้รับประทานยาแก้ปวด
4.ปัสสาวะบ่อย ในวันแรกๆ หลังคลอด อาจปัสสาวะบ่อย เนื่องจากร่างกายขับน้ำที่สะสมไว้เกินเมื่อ ตั้งครรภ์
5.ท้องผูก เกิดจากลำไส้ทำงานช้าลง ควรกระตุ้น ลำไส้ ด้วยการเดิน ดื่มน้ำมากๆ กินอาหารที่มีกากใยสูง หากรู้สึกอยากถ่ายให้ลองทันทีแต่ห้ามเบ่งแรง ถ้าไม่มั่นใจอาจใช้ ผ้าอนามัย กดบริเวณแผล ฝีเย็บ เพื่อลดความเจ็บปวด
หากคุณแม่มี อาการผิดปกติ ดังต่อไปนี้ควรพบแพทย์ทันทีค่ะ
1.มีเลือดออก ทางช่องคลอดเป็นก้อน ชุ่มผ้าอนามัย1ผืนภายใน1ชม
2.มีไข้ หนาวสั่น ไข้สูงเกิน 38 องศาเซลเซียส
3.มีหนอง หรือเลือดไหลจากแผลฝีเย็บ หรือแผลอักเสบบวมแดงมาก
4.น้ำคาวปลา มีกลิ่นเหม็น หรือมีสีแดงสด ตลอดระยะเวลา15วันหลังคลอด
5.ปวดหัวอย่างรุนแรง
อาการ เจ็บท้องคลอด
Signal to let you know the time of giving birth is coming.
ว่าที่คุณแม่ คงตื่นเต้นและกังวลไม่น้อยกับ การคลอด ที่จะมาถึง เพราะไม่รู้ว่าอาการไหนคือ เจ็บเตือน อาการไหนคือ เจ็บท้องคลอด วันนี้ก็เลยมีข้อมูลที่เกี่ยวกับ การคลอด มาฝากค่ะ
อาการนำ ก่อนคลอด
1.ระดับหน้าท้องลดลง ในช่วงสัปดาห์ท้ายๆของการ ตั้งครรภ์ คุณแม่จะสังเกตเห็นว่าระดับหน้าท้องลดลง เนื่องจากศรีษะของลูกเคลื่อนลงสู่อุ้งเชิงกรานแล้ว
2.ปวดปัสสาวะ บ่อยขึ้น เนื่องจาก ศีรษะของลูก เคลื่อนต่ำลงมากดบนกรเพาะปัสสาวะ
สัญญาณเตือน การคลอด
1.มีมูกปนเลือดออกมาทาง ช่องคลอด มูกนี้อาจออกมาก่อน เจ็บท้องคลอด สองถึงสามวันก็ได้ ดังนั้นคุณแม่ควรรอให้ เจ็บท้อง สม่ำเสมอซึ่งจะมีอาการ ปวดท้องและหลัง ร่วมด้วย หรือมี น้ำเดิน แล้วค่อยไปโรงพยาบาล
2.มดลูกบีบตัว อาจมีอาการ ปวดหน่วงๆ ที่หลัง หรือ ปวดร้าว ไปที่ต้นขา บางคนก็บอกว่าเหมือน ปวดประจำเดือน แต่ปวดมากกว่าเป็น10เท่า ให้สังเกตว่า มดลูก บีบตัวสม่ำเสมอหรือไม่ เช่นอาจปวดทุก20นาที แล้วลดลงเหลือทุก15 นาที ทุก10นาที จนเจ็บถี่ทุก5นาที ก็ควรไปโรงพยาบาลได้แล้วค่ะ
3.น้ำเดิน มีน้ำไหลออกมาเรื่อยๆจากช่องคลอด ให้ไปโรงพยาบาลทันทีแม้จะไม่ปวดท้อง เนื่องจากโอกาสเสี่ยงต่อการติดเชื้อจะมากขึ้น และให้สวมผ้าอนามัยเพื่อซับน้ำไว้จะได้ไม่เลอะ
ส่วน อาการ เจ็บเตือน จะมีอาการ มดลูกบีบตัว แต่ความถี่ไม่แน่นอน และไม่สม่ำเสมอ อาการจะทุเลาลงเมื่อคุณแม่ได้พักผ่อน นั่งหรือนอนนิ่งๆสักครู่ค่ะ
ระยะที่1 เป็นระยะที่ ปากมดลูก เริ่มเปิดจนเปิดหมด ซึ่งจะใช้เวลาประมาณ12-16 ชม ในท้องแรก และ 6-12 ชมในท้องถัดไป แต่อันนี้ไม่แน่นะคะ บางคนก็ คลอดง่าย เหลือเกินก็จะใช้เวลาน้อยกว่านี้ค่ะ
ระยะที่2 เป็นระยะ เบ่งคลอด คือเริ่มตั้งแต่ ปากมดลูก เปิดหมด จน คลอด ทารก ออกมา ท้องแรก จะใช้เวลาประมาณ1-2 ชม ส่วนท้องถัดไปใช้เวลาประมาณ 0.5-1 ชม
ระยะที่3 เป็นระยะ คลอดรก โดยเริ่มหลังจากที่คลอด ทารก จนกระทั่ง คลอดรก และ เยื่อหุ้มรก หมด ใช้เวลาประมาณ 15-30 นาที
ระยะที่4 เป็นระยะ2 ชม แรก หลังคลอด เป็นระยะที่เฝ้าดูอาการคุณแม่ ซึ่งระยะนี้ มดลูก ยังมีการหดรัดตัว ซึ่งจะทำให้ไม่เกิดการ เสียเลือดหลังคลอด
พอพ้น ระยะที่4 ไปแล้วคุณแม่ก็พักผ่อนให้เพียงพอนะคะ เพราะอีกไม่ช้าคุณต้องเตรียมตัว เลี้ยงลูก น้อยของคุณแล้วล่ะค่ะ
อาหารเพิ่มน้ำนม
Food that can increase milk for mom.
ยังไม่ทันที่จะหายเจ็บปวดและอ่อนเพลียจาก การคลอด คุณแม่ ก็มีภารกิจที่สำคัญรออยู่ นั่นก็คือ การให้นมลูก โดยปกติแล้วคุณแม่ จะเริ่มมี น้ำนม หลังจากคลอด 1-2 วัน อาจช้าหรือเร็วกว่านี้ก็ขึ้นอยู่กับความสมบูรณ์ของแต่ละคน สำหรับคุณแม่บางคนอาจมี น้ำนม น้อย ไม่ว่าจะให้ ลูกดูดกระตุ้นอย่างไร ก็ยังไม่เป็นผล ซึ่งบางครั้งคุณแม่ก็สงสารและกลัวลูกหิว จนยอมแพ้และให้ลูกทาน นมผง ไปในที่สุด ก่อนที่จะยอมแพ้ อยากให้คุณแม่ลองหาเมนู อาหาร ที่มีสรรพคุณ กระตุ้นน้ำนม มารับประทานกันดูก่อนเผื่อว่าจะช่วยให้มี น้ำนม มากขึ้นจะได้เลี้ยงลูกด้วย นมแม่ เพราะเราก็ทราบกันดีอยู่แล้วว่า นมแม่ เป็นอาหารที่ดีที่สุดสำหรับลูกแถมยังสะดวกและประหยัดด้วยค่ะ มาดูกันดีกว่านะคะว่ามีอาหารอะไรบ้างที่พอจะช่วย กระตุ้นน้ำนม ได้
1.หัวปลี ต้องยกให้เป็นพระเอกในการ เพิ่มน้ำนม เลยค่ะ เพราะ คุณย่า คุณยาย ทั้งหลาย มักจะให้ คุณแม่หลังคลอด รับประทานแกงเลียงหัวปลี แต่ถ้าคุณไม่ชอบทานแกงเลียง ก็อาจเปลี่ยนเมนู เป็น ยำหัวปลี ต้มยำหัวลี หรือ กินแกล้มกับ น้ำพริก ก็ได้ค่ะ
2.ใบกะเพรา เมนูสิ้นคิดอย่างผัดกะเพรา ที่สาวๆหนุ่มๆออฟฟิศชอบสั่งกันไม่รู้จักเบื่อ ( ก็มันอร่อยนี่ค่ะ) ก็เป็นอาหารที่ กระตุ้นน้ำนม ได้ดีทีเดียวค่ะ
3.ฟักทอง อาจทำเมนู ผัดฟักทอง หรือ ขนมหวาน อย่าง ฟักทองบวด แต่ถ้ากลัวอ้วน ก็ ฟักทองนึ่ง ค่ะ
4.ขิง อาจทำ ไก่ผัดขิง หมูผัดขิง เครื่องในผัดขิง หรือ น้ำขิง ก็ได้ แล้วแต่ชอบนะคะ
5.มะละกอสุก อันนี้ได้ประโยชน์ 2 ต่อ นอกจากช่วยเรื่อง น้ำนม แล้ว ยังช่วย ระบบขับถ่าย ของ คุณแม่หลังคลอด ด้วยค่ะ
6.เม็ดขนุนต้ม คงหากินยากนิดนึง สำหรับ คุณแม่ ที่อยู่ในเมือง แต่ก็ไม่แน่ถ้าบ้านปลูกขนุนก็คงได้กินค่ะ วิธีกินก็ง่ายๆเลยต้ม เม็ดขนุน ให้สุกแล้วก็แกะเปลือกกินได้เลยค่ะ แต่ถ้าไม่ชอบก็เอาไปทำเป็นขนมหวานก็ได้นะคะ ถ้าไม่กลัวอ้วน
จริงๆแล้วไม่จำเป็นต้องรอให้คลอดก่อนถึงจะกินอาหารพวกนี้ได้ คุณแม่สามารถทานได้ตั้งแต่ ตั้งครรภ์ เลยค่ะ เพราะเป็นอาหารพื้นๆที่มีประโยชน์และเราทานกันอยู่แล้ว ชอบเมนูไหนก็ลองไปทำทานกันดูนะคะ
เล่นกับลูกอย่างไรให้สนุก
การเล่นกับลูกถือเป็นเรื่องสำคัญนะคะ เพราะการเล่นทำให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ พัฒนาการที่ดี และยังเป็นการแสดงออกถึงความรักและความผูกพันระหว่างพ่อแม่ที่มีต่อลูกได้ คุณพ่อคุณแม่จะต้องแปลกใจเลยล่ะค่ะ เวลาที่เจ้าตัวเล็กเค้ามีปฎิกิริยาโต้ตอบกับเรา เช่นหัวเราะเสียงดังเอิ๊กอ๊าก หรือโบกไม้โบกมือ บรรยากาศที่ดีแบบนี้สามารถก่อให้เกิความสุข ความอบอุ่นภายในบ้านได้ไม่น้อยเลยนะคะ
จริงๆแล้วในขวบปีแรกนั้น ของเล่นที่ดีที่สุดสำหรับลูกก็คือพ่อแม่นั่นเองล่ะค่ะ เราเองต่างเข้าใจว่าลูกน้อยยังฟังอะไรไม่รู้เรื่อง แต่ถึงอย่างนั้นคุณพ่อคุณแม่ก็ควรหมั่นคุยเล่นกับลูกเสมอ อาจจะเล่านิทานให้ฟัง พูดถึงดินฟ้าอากาศเวลาพาลูกออกไปเดินเล่นรับลม ในไม่ช้าไม่นาน คุณพ่อคุณแม่อาจจะได้ยินเสียงบ่น กลั้วอยู่ในลำคอ คลั่กๆ เหมือนเป็นการคุยโต้ตอบของลูกเค้าน่ะค่ะ ทั้งนี้การคุยกับลูกก็เพื่อสอนให้เค้าได้เรียนรู้ คุ้นเคยกับการได้ยิน และรู้จักฟังเสียงจากคนรอบข้างจนในที่สุดแกก็จะสามารถแยกแยะเสียงที่คุ้นเคย ของพ่อแม่ ของเล่นชิ้นโปรด โมบายดนตรี ออกจากเสียงของคนแปลกหน้าได้นะค่ะ
สัมผัสกับของเล่นได้จริงๆตอนอายุได้ 3-4 เดือนแล้ว เค๊าจะเริ่มใช้มือบีบจับสิ่งของต่างๆได้ ดังนั้นของเล่นควรเป็นวัสดุนิ่มๆ หรือพลาสติกที่มีความอ่อนนุ่ม เพราะถึงแม้ว่าเด็กจะชอบของล่นชิ้นนั้นแต่ก็อาจจะนำมาฟาดหน้าตัวเองหรือคุณ พ่อคุณแม่ได้ค่ะ
เราไม่จำเป็นต้องซื้อของเล่นแพงๆให้กับลูกหรอกนะคะ เด็กจะสนใจของใช้ต่างๆรอบตัวเสมอ โดยเฉพาะสิ่งของที่มีสีสันสวยงาม สะดุดตา ไม่ว่าจะเป็นช้อนพลาสติกสีสวยๆ ขวดแป้ง ทั้งนี้ต้องเป็นสิ่งของที่ไม่มีคมและ มีขนาดไม่เล็กมากนัก ตลอดจนมีมาตรฐานที่ดีในการผลิตซึ่งจะไม่ก่อให้เกิดอันตรายในกรณีที่เด็กอาจ นำสิ่งของนั้น ๆ เข้าไปอมในปากได้
เล่นกับคุณลูกให้สนุกนะค่ะ
เลี้ยงลูกให้เก่งและดีต้องมี3G
1.เลี้ยงลูกให้มีสุขภาพที่ดี (Good Health) คุณพ่อคุณแม่ควรให้ความสำคัญในการดูแลสุขภาพของลูกตั้งแต่ลูกยังเล็กๆ โดยปลูกฝังนิสัยการรับประทานอย่างถูกสุขลักษณะให้กับลูก ทั้งฝึกให้ลูกรับประทานอาหารให้ครบทั้ง5หมู่ ได้แก่ โปรตีน ที่ได้จากเนื้อสัตว์ นม และธัญพืชชนิดต่างๆ คาร์โบไฮเดรตที่ได้จากแป้งและข้าว วิตามินและเกลือแร่จากผักผลไม้ และไขมันที่ได้จากพืช หลีกเลี่ยงลูกอม ขนมหวาน ขนมกรุบกรอบสำเร็จรูป และน้ำอัดลม นอกจากนี้คุณพ่อคุณแม่ควรส่งเสริมให้ลูก ๆได้ออกกำลังกายเช่น เล่นกีฬา ตามความชอบและความถนัด เต้นรำ กระโดดโลดเต้น เคลื่อนไหวร่างกาย เพื่อให้ลูกมีร่างกายแข็งแรงเติบโตสมส่วนสมวัย ไม่อ้วนไม่ผอมจนเกินไป
2.เลี้ยงลูกให้มีสมองที่ดี (Good Brain) คุณพ่อคุณแม่สามารถฝึกให้ลูกมีสมองที่ดี มีสติปัญญาและไหวพริบในการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า มีความฉลาดในการตัดสินใจและการคิดวิเคราะห์ มีความคิดสร้างสรรค์และจินตนาการ โดยการใช้กิจกรรมที่หลากหลายเข้ามามีส่วนช่วยในการฝึกสมองของลูกได้ ดังเช่น
-กิจกรรมศิลปะ: การที่ลูกได้ วาดรูป ระบายสี ตัด แปะ ปั้น เป็นการช่วยพัฒนาความคิดสร้างสรรค์และจินตนาการ
-กิจกรรมดนตรี: การที่ให้ลูกเล่นดนตรี เคลื่อนไหวตามจังหวะดนตรี ฟังดนตรีที่มีทำนองและจังหวะที่หลากหลาย เป็นการฝึกสมองโดยตรงในเรื่องของความคิดสร้างสรรค์และการคิดวิเคราะห์
-กิจกรรมการท่องเที่ยว: ประสบการณ์จากการพาลูกไปเที่ยว เป็นการเปิดโอกาสให้ลูกได้สัมผัสกับสิ่งแปลกใหม่ ทั้งในเรื่องของผู้คน ภาษา วัฒนธรรม สถานที่ บรรยากาศ ซึ่งเป็นการช่วยเสริมสร้างให้ลูกมีความคิดที่กว้างไกล รู้จักคิดแก้ปัญหาเมื่ออยู่ในสถานการณ์ต่างๆ มีความมั่นใจ มีทักษะทางด้านภาษา และสามารถแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับผู้อื่นได้ดีขึ้น
3.เลี้ยงลูกให้มีจิตใจที่ดี (Good Heart) คุณพ่อคุณแม่มีความสำคัญในการอบรมสั่งสอนให้ลูกมีจิตใจที่ดี ทั้งมีความซื่อสัตย์ ไม่คดโกง ไม่เห็นแก่ตัว มีจิตใจที่เมตตากรุณาต่อผู้อื่น ต่อสัตว์ ต่อธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม หากลูกของเรามีสมองเป็นอัจฉริยะ แต่ขาดความมีจิตใจที่ดีงาม ก็จะนำความรู้และความฉลาดไปใช้ในทางที่ผิด และเป็นภัยอันตรายต่อสังคมได้
วิธี การที่ดีที่สุดในการอบรมให้ลูกเป็นผู้ที่มีจิตใจที่ดีนั้นก็คือการที่พ่อแม่ ทำตัวเป็นแบบอย่างที่ดีแก่ลูกเพราะคุณพ่อคุณแม่ก็เหมือนต้นฉบับของลูก หากต้นฉบับดี สำเนาก็ดี ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่อยากให้ลูกเป็นเช่นใด ก็ควรจะเป็นเช่นนั้นให้ลูกได้เห็นเป็นแบบอย่าง ตัวอย่างเช่น ถ้าอยากให้ลูกเป็นคนใจดีมีเมตตา พ่อแม่ก็ต้องแสดงความเมตตาต่อผู้อื่นให้ลูกได้เห็น หรือถ้าอยากให้ลูกเป็นคนซื่อสัตย์ ไม่พูดโกหก พ่อแม่ก็ต้องไม่พูดโกหกให้ลูกได้ยิน เป็นต้น
คุณพ่อคุณแม่คงเห็นแล้วว่าการเลี้ยงลูกให้เติบโตขึ้นเป็นคนเก่งและ เป็นคนดีนั้น ไม่ใช่เรื่องยากเลยจริงๆ การให้ความรักความอบอุ่นและให้เวลาแก่ลูก ๆ ของเราอย่างเพียงพอบวกกับเทคนิค3G.ที่ว่ามานี้คือ เลี้ยงลูกให้มีสุขภาพ (Good Health) เลี้ยงลูกให้มีสมองดี (Good Brain)เลี้ยงลูกให้มีจิตใจดี (Good Heart) ก็จะทำให้
ลูก ๆ ของเราทุกคนเติบโตขึ้นเป็นคนเก่งและเป็นคนดีได้อย่างแน่นอน
โดย ดร.แพง ชินพงศ์
Friday, September 25, 2009
New Mom
โดยปกติเด็กทารกอายุ 1 สัปดาห์แรก อาจถ่ายอุจจาระได้วันละหลายครั้ง สามารถนับได้ถึง 10 ครั้งต่อวัน ให้สังเกตว่า หากอุจจาระปกติไม่มีมูกเลือด หรือเป็นน้ำ หรือลูกยังดูดนมได้ดีให้ถือว่ายังอยู่ในช่วงสังเกตอาการ
ใน กรณีที่ลูกดื่มนมแม่อยู่สามารถให้นมแม่ต่อไปได้ และให้ดื่มน้ำเพิ่มระหว่างมื้อนม แล้วรอดูอาการ 1 วัน ถ้าอาการท้องเสียไม่ดีขึ้น อุจจาระเป็นน้ำปนมูก มีไข้ กระสับกระส่าย ตาโหล กระหม่อมมีรอยบุ๋ม หายใจเร็ว ต้องรีบพบแพทย์ทันที
หากลูกสะอึก…พ่อแม่ควรทำดังนี้
พ่อแม่ควรจับให้ลูกนั่งไล่ลมหรืออุ้มลูกพาดบ่าและพาเดิน เพื่อให้นมออกจากกระเพาะอาหาร โดยเร็ว ทั้งนี้การให้ดื่มน้ำหรือดูดนมตาม อาจช่วยแก้อาการได้ระดับหนึ่ง
หากลูกอาเจียนหรือสำรอก…พ่อแม่ควรทำดังนี้
หลังให้นมควรไล่ลมให้ลูกทุกครั้ง โดยให้ลูกนอน ศีรษะสูงประมาณ 30 องศานาน 30 นาที
การอาเจียนบางครั้งอาจสำลักออกจมูกด้วย ให้อุ้มลูกนอนตะแคงศีรษะต่ำ และใช้ลูกสูบยางดูดคราบน้ำนมในปากและจมูกจนหมด หรือหยดน้ำเกลือ ( NSS ) 5 – 10 หยด ในรูจมูก เพื่อล้างเศษนมออกจากโพรงจมูก
หากอาเจียนติดต่อกันหลายครั้งใน 1 วัน หรืออาเจียนมีน้ำสีเขียวเหลือง การอาเจียนพุ่งแรงหรือมีการสำลักบ่อยถือว่าผิดปกติควรรีบพบแพทย์
หากลูกสะดือเปียกหรือมีเลือดออก…พ่อแม่ควรทำดังนี้
สะดือทารกจะหลุดเมื่ออายุ 1 – 2 สัปดาห์ ช่วงก่อนหรือหลังจากหลุดใหม่ๆ อาจมีเลือด หรือคราบน้ำเหลืองซึมออกมา
ดัง นั้นควรดูแลโดยการเช็ดด้วยแอลกอฮอล์ 70% วันละ 2 ครั้งตามปกติหรือเช็ดบ่อยขึ้นตามความเหมาะสม และเมื่อเข้าสู่อาการปกติ ไม่มีบาดแผลให้เช็ดสะดือด้วยแอลกอฮอล์ 70% กรณีสะดือบวมแดง อักเสบ เปียกแฉะ และมีกลิ่นเหม็นผิดปกติควรปรึกษาแพทย์
หากลูกท้องผูก…พ่อแม่ควรทำดังนี้
ปกติเด็กอาจไม่ต้องถ่ายอุจจาระทุกวัน อาการท้องผูกไม่ได้ดูจากความถี่ของการถ่ายแต่ดูจากความแข็งของอุจจาระ
พ่อ แม่อาจให้ดื่มน้ำผลไม้หรือน้ำลูกพรุนเจือจางครั้งละ 1 – 2 ช้อนชาทุกวัน จนดูว่าถ่ายอุจจาระเป็นปกติจึงงดดื่ม ถ้าอาการยังไม่ดีขึ้น เช่นขณะถ่ายอุจจาระต้องเบ่งมาก อุจจาระแข็งมากมีเลือดปนควรรีบปรึกษาแพทย์
หากลูกตาแฉะ…พ่อแม่ควรทำดังนี้
ถ้าไม่มีการติดเชื้อให้ใช้สำลีสะอาดชุบน้ำอุ่นต้มสุกเช็ดตามปกติ แต่ถ้ามีขี้ตาเหลืองปนเขียวจำนวนมาก หรือบริเวณตาขาวอักเสบแดงควรรีบพาลูกไปพบแพทย์
ภาพจาก portperryrmt.com
หากลูกมีไข้ ตัวร้อน…พ่อแม่ควรทำดังนี้
พ่อแม่ควรเช็ดตัวด้วยผ้าชุบน้ำอุ่น โดยเน้นเช็ดตามซอกคอ ข้อพับต่างๆ ให้บ่อยครั้งเพื่อระบายความร้อนจากร่างกายให้มากที่สุดและเช็ดจนกระทั่งตัว หายร้อนและควรให้ลูกสวมเสื้อผ้าบางที่ระบายความร้อนได้ดี ดูแลให้ลูกได้ดื่มน้ำและนมมากเพียงพอ ถ้าไข้ไม่ลด หรือมีอาการซึมไม่ยอมดูดนม ควรรีบพาไปพบแพทย์
หากลูกมีไข้ ลิ้นเป็นฝ้าขาว…พ่อแม่ควรทำดังนี้
พ่อแม่สามารถป้องกันโดยหลังดื่มนมผสมแล้ว ต้องให้ดื่มน้ำตามทุกครั้ง แต่ถ้ามันเกิดขึ้นแล้วควรแก้ไขโดยใช้ผ้าก๊อซหรือผ้าอ้อมสะอาดชุบน้ำอุ่นต้ม สุกเช็ดทำความสะอาดลิ้น ถ้าเช็ดแล้วยังไม่ดีขึ้น อาจเกิดจากเชื้อราบางตัวที่ทำให้ลูกเจ็บคอ และมีอาการเบื่อนมได้ควรไปปรึกษาแพทย์
หากลูกตัวเหลือง…พ่อแม่ควรทำดังนี้
พ่อแม่ควรดูแลลูกให้ดื่มนมมากเพียงพอ และพาลูกรับแสงแดดอ่อนๆ ตอนเช้าใช้เวลาประมาณ 15 – 30 นาทีต่อวัน โดยถอดเสื้อผ้า และผ้าอ้อมออกแล้วให้นอนบนเบาะสลับนอนหงายและคว่ำ หรืออุ้มลูกไว้เพื่อให้ลูกได้รับแสงแดดส่องทั่วตัว ซึ่งถ้าอาการตัวเหลืองเพิ่มมากขึ้น หรือมีอาการซึมไม่ดูดนมร่วมด้วยต้องรีบปรึกษาแพทย์
ข้อคิดสำหรับมารดาให้นมบุตร
ถ้าแม่เต้านมคัดตึง…ควรทำดังนี้
1.ไม่เว้นระยะการให้นมลูกนานเกินไป ควรให้ดูดนมทุก 3 ชั่วโมง
2.ถ้าไม่ให้ลูกดูดนมควรบีบน้ำนมออกทุก 3 – 4 ชั่วโมง
3.การประคบเต้านมด้วยน้ำอุ่นและใช้มือนวดไปรอบๆ เต้านมจากฐานเต้านมมายังหัวนม จะช่วยให้นมไหลได้ดียิ่งขึ้น
4.ถ้าเต้านมคัดตึงมาก อาจบีบน้ำนมออกเล็กน้อยก่อนให้นม เพื่อให้ลูกอมหัวนมได้สะดวกขึ้น
5.ถ้าปวดเต้านมมาก อาจประคบเต้านมในระหว่างมื้อนมด้วยน้ำเย็นนานประมาณ 15 นาที
ถ้าแม่หัวนมแตกและเป็นแผล…ควรทำดังนี้
1.ป้องกันโดยให้ลูกอมหัวนมลึกถึงลานนม และไม่ดึงหัวนมออกจากปากลูกขณะยังดูดอยู่
2.ไม่ควรฟอกสบู่ที่หัวนม หรือใช้แอลกอฮอล์เช็ดหัวนม
3.ถ้ามีสะเก็ดแห้งที่หัวนมห้ามแกะออก ให้ใช้สำลีหรือผ้านุ่มๆ ชุบน้ำอุ่นเช็ดเบาๆ
4.ใช้น้ำนมตัวเองทาหัวนมที่แตกหลังให้นมลูก เมื่อหัวนมแห้งแล้วจึงค่อยสวมเสื้อชั้นใน ถ้าเสื้อชั้นในที่สวมเปียกชื้นควรเปลี่ยนใหม่
5.ให้ลูกเริ่มดูดข้างที่ไม่เจ็บหรือเจ็บน้อยก่อน
6.ถ้าหัวนมที่แตกเป็นแผลมีเลือดออกให้งดดูดนมข้างนั้น 1 – 2 วัน
7.ให้บีบน้ำนมข้างที่หัวนมแตกออกแล้วป้อนด้วยขวดแทนก่อน เมื่ออาการดีขึ้น จึงให้ดูดจากเต้านมได้ใหม่อีกครั้ง
น้ำนมของแม่...ควรเก็บอย่างไร
1.ให้บีบนมแม่ใส่ขวดที่ผ่านการฆ่าเชื้อแล้ว เก็บในตู้เย็นช่องธรรมดาไม่เกิน 24 ชั่วโมง และควรเก็บในช่องแข็งไม่เกิน 1 เดือน
2.นมผสมที่ชงแล้วยังไม่ได้ดื่ม เก็บไว้ในตู้เย็นได้ไม่เกิน 24 ชั่วโมง
3.น้ำนมที่แช่ตู้เย็น ควรวางให้หายเย็น หรืออุ่นโดยนำขวดนมแช่ในน้ำร้อนก่อนให้ลูกดื่ม ซึ่งน้ำนมที่อุ่นแล้วดื่มไม่หมดไม่ควรเก็บไว้แล้วนำมาอุ่นให้ลูกดื่มใหม่
4.นมผงที่เปิดกระป๋องแล้ว เก็บในที่แห้งได้ไม่เกิน 1 เดือน
การฝึกระเบียบวินัยด้วยวิธีอื่นที่แตกต่าง
การฝึกระเบียบวินัยด้วยวิธีอื่นที่แตกต่าง
เมอร์เรย์ สเตราส์ นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยนิวแฮมเชียร์ ผู้ศึกษาประเด็นดังกล่าวเปิดเผยว่า "พ่อแม่ทุกคนอยากให้ลูกเป็นเด็กฉลาด หัวไว เรียนรู้เร็ว งานวิจัยนี้ชี้ให้เห็นว่า การหลีกเลี่ยงการตีเด็ก และแก้ไขพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมด้วยแนวทางอื่นเป็นสิ่งที่ช่วยให้เด็กฉลาดสม ใจพ่อแม่"
โดยเขาได้ทำการวัดไอคิวเด็กสองกลุ่ม กลุ่มแรกอายุระหว่าง 2 - 4 ปี กลุ่มที่สองอายุระหว่าง 5 - 9 ปี จากนั้นก็มาวัดไอคิวเด็กทั้งสองกลุ่มอีกครั้งเมื่อ 4 ปีผ่านไป
เมอร์เรย์ระบุว่า เด็กทั้งสองกลุ่มมีไอคิวเพิ่มขึ้นตามวัย แต่เด็กที่ถูกตีมีไอคิวต่ำกว่าเด็กที่ไม่ถูกตี ประมาณ 5 คะแนน
"แนวคิดนี้อาจแตกต่างจากสิ่งที่คนทั่วไปหลายคนยึดถือ แต่การที่เด็กโดนตีโดยพ่อแม่ของพวกเขาเองนั้น พบว่า กลายเป็นประสบการณ์อันเลวร้ายสำหรับเด็ก และมีผลถึงสมองของเขา ส่งผลให้เด็กมีการตอบโต้อย่างก้าวร้าวตามมา หรือเด็กอาจไประบายลงกับสิ่งอื่น" เมอร์เรย์กล่าว
ด้านอลิซาเบธ เกอร์ชอฟฟ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านพัฒนาการเด็กแห่งมหาวิทยาลัยเท็กซัสให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า "การ ตีเป็นการปิดกั้นความคิดของเด็ก เป็นวิธีการที่พ่อแม่เลือกใช้ความรุนแรงเพื่อผลักดันให้ลูกอยู่ในกฎระเบียบ เมื่อเด็กเติบโตมาในสถานการณ์เช่นนั้น จะทำให้เขากลายเป็นคนที่ทำในสิ่งที่ถูกต้อง เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกลงโทษ แต่เขาจะไม่สามารถคิด หรือหาทางออกที่ดีที่สุดให้กับตัวเองได้มากไปกว่านี้"
อย่างไรก็ดี งานวิจัยของเมอร์เรย์นั้นเป็นการศึกษาเฉพาะการลงโทษด้วยการตี หรือความรุนแรงว่ามีผลต่อไอคิวของเด็กเท่านั้น แต่ในโลกแห่งความเป็นจริง ยังมีอีกหลายปัจจัยให้คำนึงถึง ไม่ว่าจะเป็นพันธุกรรม สภาพแวดล้อม รายได้ของพ่อแม่ การเลี้ยงดู ปูมหลังของเด็ก และครอบครัวเด็ก ฯลฯ ที่สามารถส่งผลต่อพัฒนาการด้านสมองในเด็กได้
สุด ท้ายนอกจาก สื่อ ครอบครัวและสังคมจะช่วยกันดูแลอนาคตของชาติแล้ว คำถามที่ค้างคาใจก็คงต้องยิงผ่านไปถามยังฟากนักธุรกิจแห่งระบบทุนนิยม ว่าเพียงพอแล้วหรือยัง กับการสร้างความร่ำรวยให้กับตนเองผ่านสังคมอุดมความรุนแรง สังคมอุดมสารพิษ และการขาดจิตสำนึกรับผิดชอบต่อส่วนรวม ดังที่เราพบกันอยู่เนือง ๆ กับโรงงานเมินกฎหมาย ปล่อยสารพิษอันตรายออกมาทำร้ายชาวบ้านในละแวกใกล้ รวม ถึงคงต้องฝากคำถามถึงรัฐบาล กับการดึงนักลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุนในประเทศไทยด้วยการเอื้อประโยชน์ต่าง ๆ นานา ว่า ณ วันนี้กฎหมายด้านสิ่งแวดล้อมของประเทศไทยนั้น ดีพอแล้วหรือไม่สำหรับการคุ้มครองประชาชนในประเทศ
Monday, September 14, 2009
Mother & Care
When baby open the eye to see the world, he need milk from you. Many reason that mom can't give baby milk. I have the reason but in Thai. Find information below.
ให้นมแม่แต่เจ็บหัวนม (Mother & Care)
มีหลายคนที่ให้นมแม่ไม่สำเร็จ ก็เพราะมีอุปสรรคกลางทาง อาการหัวนมแตก สาเหตุที่ทำให้คุณแม่เจ็บจนท้อ และไม่สามารถให้นมลูกได้อีก วิธีการป้องกัน และการรักษา โดยขณะที่รักษาก็ยังให้ลูกดูดนมแม่ได้ แต่ก็ต้องอาศัยความใจเย็น และความอดทนของแม่นั่นเองค่ะ
ถ้าเกิดอาการหัวนมเจ็บ แตกขึ้นมา ก่อนอื่นคุณแม่ต้องหาสาเหตุก่อนว่า แตกเพราะสาเหตุใด จะได้แก้ไขให้ถูกวิธี
หัวนมแตกเพราะ...
1. ลูกอ้าปากไม่กว้างพอ ทำให้ปากลูกอมเฉพาะหัวนม ไม่ได้อมเข้าไปถึงลานหัวนม
2. ลูกมีพังผืดใต้ลิ้น ทำให้ความสามารถในการดูดนมแม่ไม่ดีพอ เพราะลิ้นเป็นส่วนที่ช่วยไล่น้ำนมจากท่อเก็บให้ไหลออกมาตามท่อน้ำนม มาถึงหัวนม และกลืนลงคอไปในที่สุด แต่ถ้าลูกไม่สามารถใช้ลิ้นได้อย่างดี กลไกนี้จะไม่เกิด นอกจากแม่จะหัวนมแตกแล้ว ลูกก็จะได้รับน้ำนมไม่เพียงพอด้วย
3. อุ้มลูกกินนมไม่ถูกวิธี เช่น ตัวลูกไม่ได้ระดับกับการดูดนมแม่ ทำให้ลูกดูดนมแม่ผิด
4. เต้านมคัด ลานนมแข็งมากเกินไป ลูกดูดนมไม่ออก
5. ลูกถอนปากออกจากหัวนมแรงหรือไม่ถูกวิธี
6. หัวนมแห้งแตกเพราะการทำความสะอาดที่มากเกินไป
7. ใช้เครื่องปั๊มนมที่มีความแรงมากเกินไป
ป้องกันหัวนมแตก...
1. เขี่ยริมฝีปากของลูก ให้อ้าออกให้กว้างขึ้น เพื่อให้ลูกอมไปถึงลานหัวนม
2. การตัดพังผืดใต้ลิ้นตั้งแต่เล็กๆ นั้น เป็นเรื่องง่ายมากเด็กไม่ต้องดมยาสลบ ไม่ต้องงดนม และหลังผ่าตัดก็กลับบ้านได้ทันที นอกจากจะทำให้ลูกดูดนมแม่ได้แล้ว ยังเป็นการป้องกันปัญหาการพูดไม่ชัดเมื่อโตขึ้นด้วย ดังนั้น ถ้าลูกไม่ดูดนม น้ำหนักไม่ขึ้น ควรให้คุณหมอตรวจดูว่าลูกมีพังผืดใต้ลิ้นหรือไม่ด้วย
3. อุ้มลูกกินนมให้ถูกวิธี ซึ่งสังเกตจาก ลูกดูดได้สบาย แม่ก็นั่งหรือนอนให้ลูกดูดได้สบาย อาจจะหาหมอนรองตัวลูกให้ได้ระดับ และศึกษาวิธีการอุ้มลูกที่ถูกต้อง
4. บีบน้ำนมออกเล็กน้อย หรือนวดเต้านมเบาๆ ก่อนให้ลูกดูดนม เพื่อให้หัวนมนิ่มลง
5. ให้คุณแม่สอดนิ้วก้อยเข้าไปด้านล่าง ระหว่างริมฝีปากลูกกับหัวนมแม่ แล้วค่อยถอนหัวนมออก
6. การทำความสะอาดหัวนม ใช้สำลีชุบน้ำธรรมดาเช็ด ก่อนให้ลูกดูด และอาบน้ำชำระร่างกายตามปกติ ไม่จำเป็นต้องฟอกสบู่บ่อย จะทำให้หัวนมแห้งแตกได้
7. การใช้ที่ปั๊มที่มีแรงดูดมาก ทำให้หัวนมแตก และเต้านมอักเสบได้ ใช้วิธีการปั๊มด้วยมือก็ได้
วิธีแก้หัวนมแตก
1. ให้ลูกดูดข้างที่ไม่เป็นแผลก่อน ถ้าลูกไม่อิ่มค่อยให้ดูดอีกข้างที่เป็นแผล
2. ไม่จำเป็นต้องให้ลูกงดดูดนม นอกจากเจ็บจนทนไม่ไหวจริงๆ ให้บีบน้ำนมออกทุก 2-3 ชั่วโมง แล้วป้อนลูกด้วยถ้วยเล็กหรือช้อน
3. บีบน้ำนมทาบริเวณหัวนม ผึ่งลมไว้ให้แห้ง ในกรณีที่ปวดแผลมาก สามารถรับประทานยาพาราเซตามอลได้
4. นวดลานหัวนมให้นิ่มก่อนให้ลูกดูดนม หรือใช้ผ้าชุบน้ำอุ่นประคบ แล้วนวดเต้าเบาๆ ให้น้ำนมเริ่มไหลออกมา แล้วค่อยให้ลูกดูดต่อ จะคลายความเจ็บตึงได้
5. ถ้าเป็นมากควรปรึกษาแพทย์
วิธีบีบน้ำนมด้วยมือ
• ดื่มน้ำอุ่นก่อนทำการบีบนม เพื่อให้เลือดไหลเวียนดี
• ล้างมือให้สะอาด เตรียมภาชนะหรือถุงเก็บนมให้พร้อม
• นั่งท่าที่สบายที่สุด
• ใช้ผ้าขนหนูชุบน้ำอุ่น ประคบเต้านมสักพัก แล้วนวดเบาๆ โดยใช้ฝ่ามือข้างหนึ่งประคองเต้าด้านล่าง ปลายนิ้วอีกข้างนวดเต้าเบาๆ เป็นวงกลม จากฐานเต้าไปยังหัวนมและกระตุ้นหัวนมด้วยการใช้นิ้วดึงและคลึงหัวนม
• วางปลายนิ้วหัวแม่มือและนิ้วชี้ที่ขอบลานหัวนมหรือห่างจากหัวนมประมาณ 3 เซนติเมตร แล้วกดนิ้วเข้าด้านใน บีบ 2 นิ้วเข้าหากัน น้ำนมจะถูกคันพุ่งออกมา บีบทิ้งไปก่อนสัก 2 ครั้งก่อนทำการเก็บน้ำนม
• คลายนิ้วแล้วเริ่มทำใหม่ โดยบีบปล่อยให้เป็นจังหวะ จนน้ำนมหมด แล้วเลื่อนตำแหน่งนิ้วที่บีบไปตามขอบลานหัวนม เพื่อบีบน้ำนมออกจากกระเปราะน้ำนมด้านอื่นอย่างทั่วถึง
• อย่าบีบแรง หรือเค้นจนเกินไป จะทำให้เต้านมอักเสบได้
• เมื่อบีบเสร็จแล้วปล่อยหัวนมให้แห้ง ใส่ยกทรงให้พอดีทรง
• แต่ละครั้งควรบีบน้ำนมให้เกลี้ยงเต้า และบีบไม่เกิน 30 นาทีต่อครั้ง ถ้าลูกไม่ได้ดูดทั้งวัน ควรบีบทุก 3 ชั่วโมงเป็นการกระตุ้นการผลิตน้ำนมให้สม่ำเสมอ
Friday, September 11, 2009
How many times you ask father's question
สอนเด็กให้รู้จักอดทนรอ - How to teach children to give up
เด็กไทยหลาย คนกำลังมีปัญหา ขาดความอดทน อยากได้อะไรเร็ว ๆ หรือหากจะได้มาก็ต้องได้ดั่งใจ พอไม่เป็นไปตามต้องการก็ร้องไห้งอแง อาละวาด โวยวาย ส่วนหนึ่งอาจมาจากการเลี้ยงดูของพ่อแม่ที่ทำให้เขาเห็นว่า ตัวเขาเองนั้นเป็นศูนย์กลางแห่งจักรวาลทั้งปวง ยิ่งในครอบครัวที่มีลูกคนเดียว ล้อมรอบด้วยพี่ป้าน้าอาปู่ย่าตายายคอยเอาใจ ก็ยิ่งมีโอกาสให้เด็กเห็นความสำคัญของตนเองมาก่อนคนอื่น ๆ หรือแม้กระทั่งคิดไปได้ว่า "เวลาของคนอื่นมีค่าน้อยกว่าเวลาของเรา" ได้
มาตรการด้านความอดทน จึงควรนำมาใช้ เพื่อฝึกให้เขาเหล่านี้โตขึ้นอย่างมีวินัย และรู้จักการ "อดทนรอ" ค่ะ โดยเริ่มจาก
1. ทำให้ดูเป็นตัวอย่าง
หากคุณเป็นพ่อแม่ประเภทที่ใจร้อน ต้องการความรวดเร็วในการทำสิ่งต่าง ๆ ก็อาจต้องบังคับตัวเองให้เป็นคนใจเย็น และอดทนมากขึ้น เพราะลูกจะเรียนรู้โดยดูจากพ่อแม่เป็นต้นแบบ การพาลูกไปซื้อของก็เป็นการฝึกให้เด็กเห็นถึงต้นแบบการอดทนที่ดี เพราะ เด็กจะได้เห็นว่า พ่อแม่ของเขาต้องต่อคิวซื้อสินค้า ต่อคิวจ่ายเงิน เหมือนคนอื่น ๆ ทุกคนในร้านก็ต่อคิวซื้อกันหมด ไม่มีใครแซงกัน ที่สำคัญไม่ต้องเครียดเพราะความเร่งรีบด้วย
2. ตั้งเป้าหมายในการได้มา
เหมาะสำหรับใช้ในกรณีที่มี "ของ" หรือ "บางสิ่งบางอย่าง" ที่ลูกต้องการ (ถ้ายิ่งต้องการมาก ๆ การตั้งเป้าหมายก็ยิ่งง่ายขึ้น) ในกรณีนี้พ่อแม่เพียงตั้งเป้าหมายให้ลูกทำให้บรรลุผล เช่น ทำตารางการอ่านหนังสือขึ้นมา หนังสือแต่ละเล่มก็เหมือนไอเท็มเกม 1 ชิ้น เด็กอ่านหนังสือจบ 1 เล่มก็เก็บไอเท็มได้ 1 ชิ้น ทำจนครบ แล้วจึงจะได้ของขวัญที่ต้องการ หรือจะทำตารางการช่วยงานบ้าน เช่น ล้างจาน พับผ้า ทิ้งขยะ ถูบ้าน ฯลฯ ให้ลูกได้ฝึกงานบ้าน พร้อม ๆ กับการฝึกอดทนก็ได้เช่นกัน
3. บอกช่วงเวลาการรอคอยที่ชัดเจน
การฝึกให้เด็กอดทนรอ อาจต้องเลือกใช้คำที่เหมาะสม การที่ลูกมาร้องขอบางสิ่งบางอย่างใกล้ๆ แม่ ตอนที่แม่กำลังยุ่งกับงานในบ้าน หรืองานในครัว คุณแม่หลายท่าน (ที่ยังอารมณ์ดี) อาจบอกว่า "รออีกแป๊บนึง" แต่ก็จะพบว่า อีกไม่นาน เด็ก ๆ ก็จะกลับมาใหม่พร้อมคำถามเดิม ๆ เพราะความอดทนของเขามันก็จะเกิดเพราะคำว่า "แป๊บนึง" เหมือนที่แม่บอก จนบางทีทำให้พ่อแม่หลายท่านเริ่มอารมณ์เสียที่ลูกมาถามบ่อยเกินไป ทางแก้ก็คือ กำหนดช่วงเวลาที่เหมาะสมไปเสียเลย เช่น "รอให้แม่เตรียมข้าวเย็นเสร็จก่อนนะ" หรือ "ให้แม่กวาดบ้านเสร็จก่อน"
4. พ่อแม่ก็ต้องทำตามเงื่อนไขด้วย
คงไม่ใช่ครอบครัวชินจัง ที่มีแม่มิซาเอะตั้งกฎมากมายกำหราบลูกจอมซนเพียงฝ่ายเดียว แต่พ่อแม่เองก็ต้องยอมรับและร่วมปฏิบัติตามกฎที่ตนตั้งเอาไว้ด้วย ผู้เขียนเคยพบพ่อแม่ลูกสามคนที่ชายทะเลแห่งหนึ่ง พ่อแม่สัญญากับลูกว่าต้องทานข้าวให้หมดก่อนแล้วจะพาไปเล่นน้ำทะเล แต่ปรากฏว่า พอทานข้าวกลางวันเสร็จ พ่อแม่ก็เลือกที่จะนอนเอนหลังสบายบนเก้าอี้ผ้าใบ ส่วนลูกชายก็งอแงไม่ได้เล่นน้ำทะเลอย่างที่ต้องการ เพราะพ่อกับแม่ที่บอกว่าจะพาเขาไปเล่นน้ำ ก็นอนหลับไปเสียแล้ว สุดท้ายเขาก็เลยต้องเล่นคนเดียวอย่างเหงา ๆ (แต่อีกใจหนึ่งผู้เขียนก็เข้าใจ เพราะทานข้าวกลางวันเสร็จพึ่งจะบ่ายโมง แดดทะเลร้อนขนาดไหน ท่านผู้อ่านคงนึกภาพออกค่ะ แต่บังเอิญว่า เขาไม่มีการทำความเข้าใจกับลูก ๆ ก่อนเท่านั้นเอง)
ดัง นั้น ก่อนที่พ่อแม่จะเอ่ยปากสัญญากับลูก ก็ขอให้แน่ใจเสียก่อนว่า สามารถทำตามที่เอ่ยปากเอาไว้ได้จริง ๆ เพราะมันจะทำให้ลูก ๆ อดทนรออย่างเข้าใจ ว่าอีกไม่นานเขาก็จะได้ในสิ่งที่เขาต้องการ
5. มีรางวัลรออยู่สำหรับเด็กอดทนรอ
หากคุณเอ่ยปากชวนลูก ๆ ให้ร่วมเดินทางไปซื้อของที่ห้างสรรพสินค้า พร้อมตั้งเงื่อนไขว่า จะต้องเป็นเด็กดี ไม่งอแง หรือวิ่งเล่นหายไปให้พ่อแม่เป็นห่วง และเด็ก ๆ ก็สามารถปฏิบัติตามเงื่อนไขได้ตลอดรอดฝั่ง จนกระทั่งทุกคนในครอบครัวเดินกลับจากห้างสรรพสินค้าพร้อมกันอย่างมีความสุข ก็ไม่ผิดนักหากคุณจะมีของขวัญพิเศษให้กับลูกสำหรับความพยายามอดทนครั้งสำคัญ นี้ เพราะมันจะทำให้พวกเขาได้ตื่นเต้นกันอีกรอบ (เป็นที่ทราบกันดีว่า ห้างสรรพสินค้ามีสิ่งยั่วใจเด็ก ๆ มากแค่ไหน โดยเฉพาะแผนกของเล่น) อีกทั้งยังทำให้เด็ก ๆ รู้สึกดีกับการอดทนรอ และพร้อมจะทำมันต่อไปในอนาคตด้วย
ก่อนจากกัน ผู้เขียนมีประสบการณ์หนึ่งเกี่ยวกับการอดทนรอคอยมาขอแบ่งปันกับท่านผู้อ่าน นั่นก็คือ ผู้เขียนมีโอกาสไปทานก๋วยเตี๋ยวร้านอร่อยเจ้าหนึ่ง ความที่เป็นเจ้าอร่อย จึงทำให้ร้านแห่งนี้ในตอนกลางวันคลาคล่ำไปด้วยลูกค้ามากมาย จนเป็นที่ทราบกันดีว่า ถ้าจะมาทานอาจต้องเตรียมใจ-ท้องไว้สักนิดสำหรับการรอคอย
ระหว่างที่ผู้เขียนและลูกค้าโต๊ะอื่น ๆ กำลังรอคอยก๋วยเตี๋ยวกันอย่างใจจดใจจ่อนั้น ก็ได้มีลูกค้าใหม่ 3 รายที่มีลักษณะเป็นผู้ใหญ่เข้ามาร่วมวงรอคอยด้วย แต่ดูเหมือนว่าความอดทนจะมีขีดจำกัด เมื่อผู้ใหญ่รายหนึ่งที่เป็นผู้หญิงตัดสินใจว่าคงรอไม่ไหวแล้ว เธอจึงเดินไปหาเจ้าของร้านเพื่อขอให้ช่วย "ลัดคิว" ทำอาหารของโต๊ะเธอก่อนคนอื่น ๆ
เธอ กลับมาที่โต๊ะพร้อมกับบอกสมาชิกในโต๊ะว่า เพราะ "สายสัมพันธ์" จึงทำให้เธอได้มีโอกาส "แซงคิว" โต๊ะอื่น ๆ และผู้เขียนก็ได้เห็นว่า ลูกค้าทั้ง 3 ท่านนี้ ทานอาหารที่ได้มาจากการ "ลัดคิว" ด้วยความภาคภูมิใจ
จาก เรื่องที่ได้ประสบกับตัวเองนี้ ทำให้อดคิดไม่ได้ว่า บางครั้งหากต้องการสร้างสังคมใหม่ที่ดีขึ้นกว่าในอดีต เรื่องของการ "อดทน" คงเป็นสิ่งแรก ๆ ที่คนไทยต้องฝึก ไม่ใช่เฉพาะแค่ฝึกในครอบครัว พ่อแม่ลูกเท่านั้น แต่บางทีคงต้องจับผู้ใหญ่มาฝึกกันใหม่เลยทีเดียว
thank you Manager online
Friday, August 28, 2009
Pregnancy timeline (2)
Week 14
Third of the way through. The average pregnancy
lasts 266 days or 280 days from the first day of last period.
Week 15 | |
Screening for Downs syndrome is offered about now. A simple blood test is carried out first then further tests may be offered.
| |
Week 16 | |
The foetus now has toe and finger nails eyebrows and eyelashes. It is also covered with downy hair.
| |
Week 17 | |
The foetus can hear noises from the outside world. By this stage the mother is visibly pregnant and the uterus is rising. | |
Week 18 | |
By this stage the foetus is moving around a lot - probably enough to be felt. | |
Week 19 | |
The foetus is now about 15-20cm long and weighs about 300g. Milk teeth have formed in the gums. | |
week 20 | |
Half way through pregnancy now. Almost all mothers are offered a routine scan. The foetus develops a waxy coating called vernix. The scan can show the foetus in fine detail and often reveal if the baby is a boy or a girl. However not all hospitals offer to tell parents the sex of the child - and not all parents want to know. |
|
Week 21 | |
The mother's uterus begins to push against her diaphragm leaving less space for the lungs. Feeling slightly short of breath can be normal at this stage, but the mother should seek medical advice if she experiences these symptoms.
| |
Week 22 | |
Senses develop: taste buds have started to form on the tongue and the foetus starts to feel touch. | |
Week 23 | |
The skeleton continues to develop and bones that form the skull begin to harden - but not fully. | |
Week 24 | |
Antenatal checkup and scan to check the baby´s position. A baby born this early does sometimes survive.
|
|
week 25 | |
All organs are now in place and the rest of the pregnancy is for growth. Preeclampsia is a risk from here onwards.
| |
Week 26 | |
The foetus skin is gradually becoming more opaque than transparent. | |
Week 27 | |
The foetus measures about 34cm and weighs about 800g. | |
Week 28 | |
Routine checkup to test for preeclampsia. Women with Rhesus negative blood will also be tested for antibodies.
| |
Week 29 | |
Some women develop restless leg syndrome in their third trimester.
| |
Week 30 | |
Braxton Hicks contractions may begin around now. They are practice contractions which dont usually hurt.
| |
Week 31 | |
The foetus can see now and tell light from dark. The mother´s breasts start to produce colostrum about now
| |
Week 32 | |
Another antenatal appointment. The foetus is about 42cm and weighs 2.2kg. A baby born now has a good chance of survival. | |
Week 33 | |
From now the baby should become settled in a head downwards position. A midwife can help to move it if necessary. | |
Week 34 | |
The mother may find it more difficult to eat full meals as the expanded uterus presses on her stomach. | |
Week 35 | |
If the mother has been told she may need a planned caesarean, now is a good time to discuss it further. | |
Week 36 | |
The baby´s head may engage in the pelvis any time now. | |
Week 37 | |
The baby´s lungs are practically mature now and it can survive unaided. The final weeks in the womb are to put on weight. | |
Week 38 | |
Babies born from this week onward are not considered early. | |
Week 39 | |
Another ante-natal appointment. The mother has reached her full size and weight by now. |
|
Week 40 | |
In theory the baby should be born this week. The mother´s cervix prepares for the birth by softening. |
|
Week 41 | |
First babies are often up to a week late but if there are signs of distress to mother or child the birth will be induced. | |
Thank you information from BBC NEWS
Pregnancy timeline
Weeks 1-4 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
Fertilisation occurs and a ball of quickly multiplying cells embeds itself in the lining of the uterus. In the UK pregnancy is calculated from the first day of the woman's last period so for as much as three weeks of this first month she might not be actually pregnant. When fertilisation does occur the tiny mass of cells called a blastocyst at this stage embeds itself in the lining of the womb which is already thickening to support it.
|
Thursday, August 27, 2009
Child wash her own cloths
Young mom and her child
Monday, August 24, 2009
หลังคลอดขอให้เหมือนเดิม
Many things we have to think after....I have Thai version that hope very helpful for mom.
โดย : น.พ.อานนท์ เรืองอุตมานันท์ ระหว่าง ตั้งครรภ์ คุณแม่ส่วนมากพยายามดูแลตัวเองอย่างดีที่สุด เพื่อให้มีสุขภาพที่ดี และลูกที่ออกมาจะได้สมบูรณ์แข็งแรง แต่หลังคลอดแล้ว คุณแม่มักเทใจไปให้ลูกเสียหมด ลูกกลายเป็นทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตไปเสียแล้ว เลยไม่ค่อยได้มีเวลาดูตัวเอง ... คุณแม่หลังคลอดต้องดูแลตัวเองให้เสมอต้นเสมอปลาย ก่อนคลอดดูแลตัวเองยังไง ก็ควรดูแลตัวเองให้ดีในช่วงหลังคลอดด้วย หากดูแลปฏิบัติตัวได้ดี ก็จะช่วยให้การฟื้นฟูสภาพของร่างกาย สามารถเป็นไปได้อย่างราบรื่น ปราศจากภาวะแทรกซ้อน นอกจากนั้นชีวิตของคุณแม่ระยะหลังคลอดเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมมาก คุณแม่ต้องปรับตัวเพื่อให้สามารถทำหน้าที่ของคุณแม่และภรรยาที่ดีได้ในเวลา เดียวกัน
อะไร..เปลี่ยนไปหลังคลอด * มดลูก เมื่อลูกน้อยคลอดออกมาแล้ว มดลูกที่เคยใหญ่เต็มท้องก็จะหดตัวเล็กลงเหลือเป็นก้อนกลมๆ แข็งๆ ขนาดเท่าลูกส้มโออยู่ที่ท้องน้อย อยู่ประมาณระดับสะดือของคุณแม่พอดี คุณแม่ที่คลอดแล้วยังเหลือไขมันหน้าท้องเยอะๆ อาจจะคลำมดลูกไม่เจอก็ได้ มดลูกที่ว่านี้ก็จะหดเล็กลงทุกๆ วัน เฉลี่ยแล้วจะเล็กลง 12 นิ้วมือต่อวัน แล้วจะเล็กลงจนคลำไม่เจอใน 2 สัปดาห์ และจะเล็กลงจนเท่าขนาดปกติก่อนที่จะตั้งครรภ์ใน 4 สัปดาห์ หลังคลอดใหม่ๆ คุณแม่จะมีอาการปวดมดลูกบ้าง เนื่องจากมดลูกจำเป็นต้องบีบตัวเกร็งไว้ เพื่อไม่ให้เลือดออกมาจากรอยแผลที่รกเคยเกาะติดอยู่ อาการปวดนี้จะคล้ายๆ ปวดประจำเดือน แต่อาจจะปวดมากกว่า และปวดอยู่นาน 2-3 วัน ท้องที่สองจะปวดมดลูกมากกว่าท้องแรก ท้องสามก็ปวดมากกว่าท้องสอง และจะปวดมากขึ้นขณะแม่ให้ลูกกินนมแม่ เนื่องจากเมื่อลูกดูดนมแม่จะทำให้สมองหลั่งฮอร์โมนชนิดหนึ่งออกมา ซึ่งมีฤทธิ์กระตุ้นให้มดลูกมีการหดรัดตัวมากขึ้น
ดังนั้นคุณแม่ที่เลี้ยงลูกด้วยนมแม่ มดลูกก็จะเข้าอู่เร็วกว่า น้ำคาวปลาหมดเร็วกว่าคุณแม่ที่ไม่ได้เลี้ยงลูกด้วยนมแม่ * น้ำคาวปลา ไม่รู้ใครเป็นคนตั้งชื่อนี้นะครับ ดูๆ ไปมันก็เหมือนน้ำคาวของปลาจริงๆ น้ำคาวปลาของคุณแม่หลังคลอด คือเลือดคล้ายประจำเดือนที่ไหลออกมาทางช่องคลอดในระยะหลังคลอด มันจะไหลออกมาจากตำแหน่งที่รกเคยเกาะติดอยู่ โดยน้ำคาวปลาจะเป็นสีแดงสดใน 3 วันแรก หลังจากนั้นก็จะจางลงเรื่อยๆ กลายเป็นสีชมพูเรื่อๆ แล้วจางลงใสเป็นสีฟางใน 10 วัน แล้วก็หมดหายไปในเวลาประมาณ 14-21 วัน สำหรับคุณแม่ที่ผ่าท้องคลอด น้ำคาวปลาก็จะจางลงเร็ว และหมดไปเร็วกว่าปกติ เนื่องจากคุณหมอจะช่วยเช็ดถูทำความสะอาดภายในโพรงมดลูกจนเกลี้ยงแล้วใน ระหว่างการผ่าตัด
* แผลฝีเย็บ ถ้าคุณแม่คลอดเอง ขณะที่หัวของลูกกำลังจะโผล่ออกมาภายนอก คุณหมอก็จะช่วยตัดฝีเย็บ เพื่อขยายปากช่องคลอดให้กว้างขึ้น เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการฉีกขาด และป้องกันไม่ให้เนื้อเยื่อรอบๆ ปากช่องคลอดยืดขยายเกินไป หลังจากคลอดเสร็จแล้ว คุณหมอก็จะเย็บแผลฝีเย็บกลับเข้าที่เหมือนเดิม โดยมากเย็บแผลฝีเย็บด้วยไหมละลาย เพราะไม่ต้องเสียเวลามาตัดไหมอีกรอบ อีกทั้งแผลก็ยังดูดีกว่าอีกด้วย ที่ต้องระวัง คือแผลฝีเย็บที่ว่าดันมาอยู่ใกล้กับปากทวารหนักพอดี แถวทวารหนักจะมีอุจจาระ ซึ่งมีเชื้อโรคอาศัยอยู่มากมายมหาศาล หากดูแลแผลไม่ดีเกิดเชื้อโรคหลุดรอดเข้ามาที่แผล ก็ทำให้เกิดการอักเสบได้ อักเสบที่อื่นยังทนได้ แต่ถ้ามาอักเสบตรงปากช่องคลอดพอดีนี่ มันทรมานจริงๆ นะจะบอกให้ หลังปัสสาวะหรืออุจจาระ คุณแม่ควรเช็ดทำความสะอาด โดยเช็ดจากด้านหน้าไปหลังเสมอ ห้ามเช็ดขึ้นมาทางช่องคลอดเด็ดขาด เพราะจะทำให้อุจจาระเลอะเข้าแผลได้ แล้วก็ให้เช็ดลงล่างทางเดียว ทีเดียวแล้วทิ้งกระดาษชำระไปเลย อย่าขี้เหนียวเช็ดไปเช็ดมาหลายรอบ เพราะเมื่อเช็ดผ่านไปแล้ว เลอะอุจจาระไปแล้ว หากวนกลับมาเช็ดอีกครั้งเชื้อโรคก็จะเข้าสู่แผลได้ หลังทำความสะอาดแล้วก็ควรซับให้แห้งทุกครั้ง หากมีน้ำคาวปลาออกมามาก ก็ควรเปลี่ยนผ้าอนามัยบ่อยๆ อย่าปล่อยให้แผลเปียกแฉะอับชื้น ซึ่งจะทำให้แผลแยก มีเชื้อโรคสะสมนำไปสู่การติดเชื้อได้ เจ็บแผลฝีเย็บจัง วันแรกหลังคลอด หากมีอาการเจ็บแผล ให้ทานยาพาราเซตตามอล 2 เม็ด จะช่วยบรรเทาปวดได้ การใช้น้ำแข็งช่วยประคบ จะช่วยบรรเทาอาการเจ็บแผลและลดการบวมได้ แต่ถ้าเลยวันแรกไปแล้ว ก็มักจะอบแผลด้วยความร้อนเพื่อช่วยลดอาการบวม
ในรายที่แผลบวมมาก เจ็บมากจนนั่งไม่สะดวก อาจใช้ห่วงยางอันเล็กๆ รองนั่งก็จะรู้สึกสบายขึ้น อาการเจ็บฝีเย็บมักจะลดน้อยลงภายใน 7 วัน และมักจะหายสนิทภายในเวลา 3 สัปดาห์หลังคลอด * ช่องคลอดและกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน ระหว่างตั้งครรภ์ ผนังช่องคลอดจะเรียบแบน ไม่มีรอยย่นเป็นลอนเหมือนช่วงก่อนตั้งครรภ์ ระยะหลังคลอดช่องคลอดจะคืนรูป มีรอยพับย่นตามธรรมชาติภายใน 3 สัปดาห์ นอกจากนั้นหลังจากผ่านการคลอดไปแล้ว ช่องคลอดก็จะมีการยืดขยายกว้างขึ้นมากกว่าปกติ ก่อนคลอดช่องคลอดจะมีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 2 ซม. แต่ในขณะที่กำลังคลอด ศีรษะของลูกจะทำให้ช่องคลอดยืดขยายกว้างออกถึง 10 ซม. นึกแล้วน่าหวาดเสียว พอคลอดออกไปแล้ว รับรองได้ว่าไม่กว้าง 10 ซม.ไปตลอดแน่ แต่จะไม่หดเล็กลงเท่าเดิม กล้ามเนื้อหูรูดจะยืดหย่อนไปบ้าง แต่คงกว้างประมาณ 3 ซม. โล่งไปหมดเลยล่ะครับ หลังคลอด คุณแม่จึงควรออกกำลังกาย เพื่อฟื้นฟูสภาพช่องคลอดให้กลับสู่สภาพเดิม โดยการ "ขมิบก้น" นั่นเอง ซึ่งควรทำวันละ 20-30 ครั้ง โดยสามารถทำได้ทันทีหลังคลอด หรือเมื่อไม่เจ็บแผลแล้ว คุณแม่ที่เลี้ยงลูกด้วยนมแม่อาจบริหารโดยการนั่งขมิบขณะให้นมก็ได้...เพลิน ดี
ถ้าบริหารกระบังลมอย่างสม่ำเสมอ ช่องคลอดจะกลับมากระชับแข็งแรงเหมือนเดิมได้ภายใน 3 เดือนหลังคลอด หากคุณแม่คนไหนขี้เกียจ ไม่ค่อยได้บริหาร กล้ามเนื้อต่างๆ ก็ไม่เข้าที่เหมือนเดิม จะมีปัญหากระบังลมหย่อน มีปัสสาวะเล็ดเวลาไอหรือจาม บางคนก็มีอาการปวดท้องน้อยเวลายกของหนัก และที่สำคัญคุณสามีก็จะนั่งบ่นทั้งวันทั้งคืนว่ามันไม่เหมือนเดิม มันกลวงๆ โล่งๆ ยังไงชอบกล...เฮ้อ..
* หน้าท้อง การตั้งครรภ์มีผลต่อหน้าท้องสวยๆ ของผู้หญิงมากที่สุด ขนาดของมดลูกที่โตขึ้นเรื่อยๆ จะทำให้ผนังหน้าท้องยืดขยายออก ยิ่งคุณแม่บางคนไม่ค่อยได้ระวังเรื่องอาหารการกิน ทำให้มีไขมันส่วนเกินมาสะสมที่หน้าท้อง หลังคลอดหน้าท้องของคุณแม่จึงทั้งยืดทั้งย้วยน่าตกใจ การออกกำลังกายหลังคลอดอย่างน้อยแค่ซิตอัพวันละ 20-30 ครั้ง จะช่วยให้กล้ามเนื้อหน้าท้องกลับมาแข็งตึงเหมือนเดิม ทั้งยังช่วยลดไขมันหน้าท้องด้วย การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ช่วยให้คุณแม่ผอมลงเร็ว ช่วยระบายไขมันส่วนเกินออกไปได้บ้าง แต่ต้องควบคุมอาหารการกินให้ดีด้วยนะครับ ช่วงหลังคลอดควรเน้นอาหารประเภทโปรตีน ผักสด ผลไม้ นมพร่องไขมัน ให้หลีกเลี่ยงอาหารประเภทแป้ง ของหวาน ไขมัน ซึ่งจะยิ่งทำให้ไขมันไปสะสมที่หน้าท้องมากขึ้น ยิ่งอ้วนไปกันใหญ่
หน้าท้องของคุณแม่บางคนมีสีคล้ำขึ้นมากระหว่างตั้งครรภ์ เนื่องจากฮอร์โมนที่เพิ่มขึ้นในช่วงนี้ ระยะหลังคลอดผิวหนังชุดเดิมจะหลุดลอกไปเป็นขี้ไคลภายใน 3 เดือน ผิวหนังที่สร้างขึ้นมาชุดใหม่จะค่อยๆ ขาวขึ้นจนเหมือนปกติ จึงไม่ต้องกังวลเดี๋ยวก็เหมือนเดิมเอง ขัดก็ไม่ขาว ยิ่งขัดยิ่งทำให้ผิวแดงคล้ำขึ้นด้วยซ้ำไป ให้เวลากับร่างกายเราเองซักหน่อย ไม่ต้องไปเสียเงินเสียทองเข้าคอร์สขัดผิวหรอกครับ เอาเงินไปซื้อข้าวของให้ลูกดีกว่า ความผิดปกติหลังคลอด มีหลักง่ายๆ ให้ดูว่าผิดปกติหรือไม่แค่ 4 อย่างเท่านั้นครับ คือ...
* ต้องไม่มีไข้ หากมีไข้แสดงว่าน่าจะมีการอักเสบเกิดขึ้นที่ใดที่หนึ่ง แต่หลังคลอดใหม่ๆ คุณแม่บางคนอาจมีไข้ต่ำๆ ได้ ซึ่งอาจเกิดจากการขาดน้ำหรืออ่อนเพลียมาก แต่หากไข้สูงขึ้นหรือไม่มีทีท่าว่าจะลด ก็ไปหาหมอได้เลย เพราะอาจมีการอักเสบที่กระเพาะปัสสาวะ ที่แผล หรือที่มดลูกเลยก็ได้
* ปวดท้องน้อยน้อยลง ซึ่งปวดมากใน 3-4 วันแรก ที่เรียกกันว่าคัดมดลูกหากปวดมากขึ้น ก็อาจเป็นไปได้ว่ามีการอักเสบเกิดขึ้น หรืออาจมีเศษรกที่คลอดออกมาไม่หมดค้างอยู่ * เจ็บแผลน้อยลง ปกติแผลฝีเย็บจะหายเร็วมาก แค่ 4 วันก็หายเจ็บแล้ว แต่ละวันจะเจ็บน้อยลงเรื่อยๆ อาจจะเจ็บมากขึ้นได้ หากเดินมากหรือเผลอไปนั่งแยกขามากจนระบม แต่ถ้าเจ็บมากขึ้นโดยไม่มีวี่แววว่าจะดีขึ้น อาจแปลว่าแผลกำลังจะอักเสบ...เรื่องใหญ่ละคราวนี้
* น้ำคาวปลาออกน้อยลง น้ำคาวปลาที่ออกมาต้องน้อยลงทุกวัน แล้วก็จางหายไปใน 2 สัปดาห์ หากน้ำคาวปลาไม่ลด แถมออกเป็นเลือดแดงแจ๋มากขึ้น จนบางทีถึงกับตกเลือด มักเกิดจากมดลูกไม่หดตัว หรืออาจจะมีเศษรกติดค้างอยู่ภายในก็ได้ อย่างไรก็ดี ถ้าจะมีอะไรผิดปกติขึ้นมา มักจะเกิดใน 3 วันแรก ตอนอยู่โรงพยาบาล คุณหมอจะมาตรวจดูทุกวัน เปิดดูโน่นดูนี่เพื่อให้แน่ใจว่าทุกอย่างเป็นปกติดี แม่ที่คลอดเองมักอยู่โรงพยาบาลประมาณ 3 วัน จะได้กลับบ้านอย่างสบายใจ แต่ความผิดปกติอาจเกิดขึ้นในช่วงไหนก็ได้ หากมีอะไรผิดปกติไปจาก 4 ข้อที่ว่า ควรรีบไปพบแพทย์นะครับ ที่สำคัญคุณหมอจะนัดคุณแม่ไปตรวจหลังคลอดอีกครั้งใน 4-6 สัปดาห์ ห้ามพลาดรายการนี้เป็นอันขาด เพราะคุณหมอจะตรวจดูว่าเครื่องในภายในเข้าที่ เป็นปกติดีแล้วหรือยัง และจะคุยกันเรื่องคุมกำเนิดด้วย...เดี๋ยวจะท้องหัวปีท้ายปีเลี้ยงกันไม่ไหว อ้อ..ต้องงดมีเพศสัมพันธ์ 6 สัปดาห์หลังคลอดนะคร้าบ อย่าแกล้งทำลืม!
After give birth
After give birth many nationality has the way to take care herself, for Thai people we have the old traditional that can help you reduce weight and take care health for long time. We use hot from fire, salt, herbal and massage to take care it. We call this "Yu Fai" that now many shops open this service to take care mom, so you can find it no need to do at home.
เมื่อคุณแม่ ตั้งครรภ์ และ อุ้มท้อง เป็นเวลาประมาณ 9 เดือนนั้น มีอะไรหลายอย่างเปลี่ยนแปลงไป คุณแม่ มีน้ำหนักมากขึ้น กินอาหารมากขึ้น อาหารที่เหลือจาก ลูก ก็จะถูกเก็บสะสมไว้ในรูปไขมันเพื่อเตรียมการคลอด หน้าท้องขยายใหญ่ คุณแม่ต้องอุ้ม น้ำหนักลูก ทำให้กล้ามเนื้อของหลัง ช่องท้อง ต้น
ขาต้องเกร็งตัวตลอดเวลา ทำให้มีอาการปวดหลัง คุณแม่ บางคนก็มีภาวะท้องผูก เป็นริดสีดวง เส้นเลือด
ขอดที่ขา ท้องลาย ขาบวม เป็นต้น คนโบราณหาวิธีแก้ปัญหาเหล่านี้ด้วยการ อยู่ไฟ หรืออยู่เรือนไฟคือ
การไปนอนบนแผ่นกระดาษก่อกองไฟไว้ใกล้หรือด้านล่างเพื่อให้ มดลูก เข้าอู่ หรือแห้ง และยังเป็นการ
ป้องกันการติดเชื้อได้อีกด้วย เนื่องจากอยู่ในที่ที่อุณหภูมิสูงอยู่ตลอดเวลา นอกจากนี้ก็ยังให้คุณแม่
กินเกลือ เพราะต้องเสียเหงื่อมากจากความร้อนระยะเวลาของการอยู่ไฟนั้นประมาณ 7-15 วัน หลังคลอด
และคุณแม่ จะต้องพยายามทำขาให้ชิดกัน เพื่อให้แผล ฝีเย็บ ติดกัน วิธีการนี้คนโบราณจะเรียกว่า
การเข้าตะเกียบ ซึ่งช่วยให้คุณแม่ในยุคสมัยที่ยังนิยมการอยู่ไฟหลังคลอดมีสุขภาพสมบูรณ์ ปัจจุบัน
การ อยู่ไฟหลังคลอด แบบในอดีตนั้นไม่เป็นที่นิยมจนคนรุ่นหลังๆ แทบไม่รู้จักวิธีการฟื้นฟูสุขภาพของ
คุณแม่หลังคลอด ด้วยวิธีการนี้เลย ทั้งที่เป็นการฟื้นฟูสุขภาพ หลังคลอด ที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายทั้งใน
ระยะสั้นและระยะยาว การดูแลมารดาหลังคลอด การดูแลทารกแรกเกิด และการส่งเสริมสุขภาพเด็กดี
โดยเฉพาะในส่วนของการดูแล มารดาหลังคลอด นั้น ได้นำเอาวิธีการดูแลมารดาหลังคลอดของโบราณมา
ประยุกต์ใช้ เพื่อก่อให้เกิดสุขภาพดีทั้ง แม่และเด็ก โดยมีองค์ประกอบในการดูแล ดังนี้
การนวด เป็นการคลายกล้ามเนื้อของแม่ที่เกร็งตัวอุ้มท้องอยู่ตลอด 9 เดือน ทำให้ระบบไหลเวียนโลหิตดี
สามารถนำเอาของเสียที่ตกค้างตามส่วนต่างๆ ของร่างกายออกมากับเลือด นำไปฟอกที่ไตเพื่อขับถ่ายออก
ทางปัสสาวะ และเอาสารอาหารไปซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ นอกจากนั้น การนวดยังช่วยลดอาการเส้นเลือด
ขอดรีดสีดวงทวาร และอาการบวม อีกทั้งยังเป็นการส่งเสริมสุขภาพอีกด้วย เหมือนที่โบราณว่าเมื่อเลือดลม
ดีสุขภาพก็ดี
การทับหม้อเกลือ เป็นการนำเอาเกลือเม็ดใส่ในหม้อดินตั้งไฟจนเกลือสุกประมาณ 10-15 นาที วางลงบน
สมุนไพร หลากหลายชนิด ห่อด้วยใบพลับพลึงและผ้าขาว เกลือที่ตั้งไฟจนสุกจะสามารถเก็บความร้อน
ไว้ได้นาน 15-20 นาที เมื่อห่อเกลือด้วยใบพลับพลึงและผ้าขาวเสร็จเรียบร้อยแล้ว จึงนำมาประคบตามร่าง
กายความร้อนจะช่วยให้รูขุมขนเปิด ทำให้สมุนไพรซึมผ่านลงไปได้ ช่วยขับ น้ำคาวปลา ขณะเดียวกันก็ขับ
ของเสียออกมาตามรูขุมขน ทำให้คุณแม่มีผิวพรรณที่สวยงามรัดมดลูกให้เข้าอู่เร็ว
การอบสมุนไพร คือการที่คุณแม่เข้าไปในห้องหรือกระโจมที่ถูกรมด้วยไอความร้อนจากน้ำต้มสมุนไพร
ทำให้ร่างกายได้รับความร้อนทั่วตัว รูขุมขนเปิดตลอด ปอดและหลอดเลือดฝอยขยายตัว หายใจสะดวก
ขึ้นทำให้ขับของเสีย ทำให้เลือดไหลเวียนสะดวก กล้ามเนื้อผ่อนคลาย และลดไขมันที่สะสมไว้
ขณะตั้งครรภ์ ทำให้หุ่นดี การใช้ยาสมุนไพรโบราณว่า เดิมมีการนั่งถ่าน โดยใช้สมุนไพรโรยที่ถ่าน
ให้เกิดควัน แล้วนั่งคร่อม เตารม แผลฝีเย็บ ให้แห้งและให้ช่องคลอดกระชับ การใช้ยาสมุนไพรบำรุงธาตุ
ขับน้ำคาวปลาและบำรุงนมในข้อนี้แพทย์แผนปัจจุบันไม่เห็นด้วย เพราะเชื่อว่ายาที่คุณแม่ทานอาจ
มีผลต่อเด็ก จึงทำให้ขั้นตอนนี้ไม่เป็นที่นิยมนำมาใช้ในการดูแลคุณแม่หลังคลอดในปัจจุบัน
Weight while pregnanancy
For mom who has balance weight while pregnancy is very prefect because after giving birth you will be back to normal easy than mom who gain a lot of weight during pregnant. For pregnant lady who has not much weight worry about nutrient that baby get. So, you have to take care yourself by eating health food for baby not for mom.
สำหรับ คุณแม่ที่มีรูปร่างปกติสมส่วน คือไม่มากเกินไปไม่น้อยเกินไปนั้น ถือว่าโชคดีมาก ๆ เพราะนอกจากร่างกายจะเข้าที่เมื่อคลอดลูกไปแล้วยังทำให้ลูกน้อยในครรภ์แข็ง แรงได้ด้วย แถมการคลอดก็ไม่ยากเท่าไหร่
ใน ขณะที่คุณแม่ที่มีรูปร่างผอมมากเกินไป หรืออ้วนมากเกินไปอาจจะลำบากกว่า เพราะหากน้ำหนักมากเกินไปก็อาจจะคลอดลำบาก ในขณะที่คุณแม่ที่ผอมเกินไปก็อาจจะกังวลว่าลูกตัวน้อยจะได้รับสารอาหารไม่ เพียงพอ ไม่ต้องกังวลไปค่ะ วันนี้เรามีทริคดี ๆ มาแนะนำกันค่ะ
สำหรับคุณแม่ที่ผอมเกินไปนั้น แนะนำให้ทานอาหารให้ครบทั้ง 5 หมู่ และควรทานมากกว่าปกติ
เช่นอาจจะทานเพิ่มเป็น 4 มื้อ หรือเพิ่มปริมาณอาหารมากขึ้นกว่าเดิม หากกลัวว่าจะทานไม่หมด ก็แนะนำให้ค่อย ๆ เพิ่มนะคะ ไม่ใช่เพิ่มรวดเดียว ประเดี๋ยวจะเกิดอาการไม่อยากอาหารขึ้นมาได้ นอกจากนี้ต้องพักผ่อนให้เพียงพอด้วย ถ้ารู้ตัวว่าเป็นคนอ้วนยาก ให้งดการทำงานหนัก ๆ หรือครุ่นคิดเรื่องงานในระหว่างที่ตั้งครรภ์ เพราะอาจจะส่งผลให้คุณไม่อยากอาหารได้เช่นกัน วิธีเพิ่มน้ำหนักที่ดีคือการหมั่นทานผัก และช็อกโกแลตเยอะ ๆ ค่ะ
สำหรับคุณแม่ที่มีน้ำหนักมากเกินไป ซึ่งดูเหมือนว่าจะมีปัญหามากกว่าคุณแม่ที่ผอมเกินไป
เพราะ อาจจะมีภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ เช่น ความดันโลหิตสูง น้ำตาลในเลือดสูง และอาจจะเจอปัญหาคลอดยากด้วย เราขอแนะนำคุณแม่ที่มีน้ำหนักเกินว่า ให้ทานอาหารให้ครบทั้ง 5 หมู่ โดยเน้นอาหารที่ให้พลังงานเยอะ ๆ หน่อย นอกจากนี้ก็อย่าลืมทานผักผลไม้เป็นประจำ และที่ขาดไม่ได้เลยก็คือ หมั่นออกกำลังเสมอ ๆ ซึ่งแม้ว่าคุณจะตั้งครรภ์อยู่ แต่เดี๋ยวนี้มีการคิดค้นวิธีการออกกำลังของคุณแม่ตั้งครรภ์แล้ว หรือไม่อย่างนั้นเรา แนะนำให้เข้าคอร์สออกกำลังในน้ำสำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์ค่ะ เพราะคุณจะได้ไม่อึดอัดมาก เนื่องจากมีน้ำช่วยรองรับน้ำหนัก แถมยังออกกำลังกายได้ทุกส่วนด้วย
ตาม ปกติแล้วเมื่อผู้หญิงเราตั้งครรภ์ จะมีน้ำหนักเพิ่มมากกว่าเดิมประมาณ 12 - 16 กิโลกรัม หากเกินกว่านี้ถือว่าเริ่มมากเกินไปหน่อยแล้ว แต่โดยมากแม้ว่าน้ำหนักจะเกินหากคุณแม่คลอดลูกแล้ว น้ำหนักจะลดลงเอง
ยิ่ง เป็นคุณแม่ที่เลี้ยงลูกเอง ทำงานบ้านเองด้วย รูปร่างก็จะกลับมาเป็นปกติโดยอัตโนมัติ เพราะมีการเคลื่อนไหวร่างกายอยู่ตลอดเวลานั่นเองค่ะ ไม่ต้องกังวลไป
Friday, August 21, 2009
Thai Adsense
http://thaiadsense-online.blogspot.com/
Thursday, August 20, 2009
Pregnancy
Tuesday, August 18, 2009
This month is August which I am getting 8 months. Time flies too fast. In next month I will be 9 months which I can see his face. I pray every time that I can hope he is healthy, complete all organs and normal as same as normal baby. As last time I have an operation, so this time doctor has to do it again. That means I can't wait until I feel pain, so I have to prepare for childbirth in advance. I have found a good website this http://www.birthbabyandmom.com/
Friday, August 14, 2009
Name of my son
Numerology:
Expression Number 1: People with this name tend to initiate events, to be leaders rather than followers, with powerful personalities. They tend to be focused on specific goals, experience a wealth of creative new ideas, and have the ability to implement these ideas with efficiency and determination. They tend to be courageous and sometimes aggressive. As unique, creative individuals, they tend to resent authority, and are sometimes stubborn, proud, and impatient.
Tuesday, August 4, 2009
Is it safe? U.S. vaccine experts want to build trust
As I am a pregnant lady who has to take care myself carefully, I hope the vaccine can help people from the H1N1 Swine flu ... but now I am not sure....read news below.
By Maggie Fox, Health and Science Editor - Analysis
WASHINGTON (Reuters) - When advisers to the U.S. Food and Drug Administration met to discuss a new vaccine against H1N1 swine flu last week, some of the biggest critics of vaccination were not only in the room, but at the table.
Likewise for a meeting on Wednesday of advisers who decide who will be first in line to get the vaccine, which drug companies are racing to make, test and distribute all within the space of a few weeks.
Registered nurse Vicky Debold, on the board of the National Vaccine Information Center, which questions vaccine safety, is also a member of the FDA's Vaccine and Related Biological Advisory Committee. The group's founder, Barbara Loe Fisher, asked extensive questions at the meeting.
Lyn Redwood, president of SafeMinds, a group that advocates about potential links between mercury and neurological disorders, asked questions at a meeting on Wednesday of vaccine advisers to the Centers for Disease Control and Prevention.
The U.S. federal government is more ready than it has ever been for questions, criticisms and fear of vaccines -- a state of preparedness more than 30 years in the making.
"We know that there are some people who are reluctant to vaccinate and they have heard information that concerns them," Dr. Anne Schuchat of the U.S. Centers for Disease Control and Prevention told reporters late on Wednesday.
The concerns:
*Will a vaccine against a swine-like virus cause more adverse reactions than a seasonal flu vaccine?
*Will special additives called adjuvants cause reactions?
*Will the vaccines contain thimerosal, a mercury-based preservative that critics say might cause problems?
*Is it dangerous to vaccinate against both seasonal flu and the new H1N1 flu at the same time?
QUICK SPREAD
H1N1 swine flu has swept around the world in weeks, infecting millions and killing more than 800 by official counts. While only a "moderate" pandemic by World Health Organization standards, it could worsen as temperatures cool in the Northern Hemisphere, making conditions better for viruses.
Five companies are making H1N1 vaccine for the U.S. market -- AstraZeneca's MedImmune unit, Australia's CSL Ltd, GlaxoSmithKline Plc, Novartis AG and Sanofi-Aventis SA.
CSL has started trials of its vaccine in people and the U.S. National Institutes of Health starts trials next month. They will compare vaccines with and without adjuvants -- ingredients that boost the immune system response to a vaccine.
Adjuvants are used in flu vaccines in Europe but not the United States and although it would be possible to get a U.S. license under Emergency Use Authorization, officials have chosen to use vaccines without it for now.
Companies such as Glaxo say they will be ready to start vaccinating people in Europe just as the first data from those trials start emerging at the end of September. Some have questioned this speed.
The FDA's Dr. Hector Izurieta said the agency had set up an exceptionally extensive network for what is known as post-marketing surveillance.
"If something happens after vaccination, the vaccine will be accused," Izurieta told last week's meeting. "There will be many, many reports of things that could be, or not, associated with vaccination."
Vaccine regulators and public health experts are painfully aware of the last swine flu vaccination campaign. In 1976, the U.S. government rushed out a mass immunization against a swine flu virus that never spread off one military base.
Several hundred cases of a rare, paralyzing neurological disease called Guillain-Barre syndrome were reported afterward and although no clear link has ever been found to the vaccine, the incident made many people mistrustful of immunizations.
More recently, fears center on thimerosal, taken out of most vaccines after activists claimed it could cause autism -- a link discredited by many scientific studies but one that some vocal activists say is still valid.
Instead of fighting the perception, Schuchat said the CDC will roll with it. "There will be thimerosal-free formulations available for those people who are interested in that sort of preparation," she said.