Friday, October 9, 2009

อาการ เจ็บท้องคลอด

Signal to let you know the time of giving birth is coming.

ว่าที่คุณแม่ คงตื่นเต้นและกังวลไม่น้อยกับ การคลอด ที่จะมาถึง เพราะไม่รู้ว่าอาการไหนคือ เจ็บเตือน อาการไหนคือ เจ็บท้องคลอด วันนี้ก็เลยมีข้อมูลที่เกี่ยวกับ การคลอด มาฝากค่ะ
อาการนำ ก่อนคลอด
1.ระดับหน้าท้องลดลง ในช่วงสัปดาห์ท้ายๆของการ ตั้งครรภ์ คุณแม่จะสังเกตเห็นว่าระดับหน้าท้องลดลง เนื่องจากศรีษะของลูกเคลื่อนลงสู่อุ้งเชิงกรานแล้ว
2.ปวดปัสสาวะ บ่อยขึ้น เนื่องจาก ศีรษะของลูก เคลื่อนต่ำลงมากดบนกรเพาะปัสสาวะ

สัญญาณเตือน การคลอด
1.มีมูกปนเลือดออกมาทาง ช่องคลอด มูกนี้อาจออกมาก่อน เจ็บท้องคลอด สองถึงสามวันก็ได้ ดังนั้นคุณแม่ควรรอให้ เจ็บท้อง สม่ำเสมอซึ่งจะมีอาการ ปวดท้องและหลัง ร่วมด้วย หรือมี น้ำเดิน แล้วค่อยไปโรงพยาบาล
2.มดลูกบีบตัว อาจมีอาการ ปวดหน่วงๆ ที่หลัง หรือ ปวดร้าว ไปที่ต้นขา บางคนก็บอกว่าเหมือน ปวดประจำเดือน แต่ปวดมากกว่าเป็น10เท่า ให้สังเกตว่า มดลูก บีบตัวสม่ำเสมอหรือไม่ เช่นอาจปวดทุก20นาที แล้วลดลงเหลือทุก15 นาที ทุก10นาที จนเจ็บถี่ทุก5นาที ก็ควรไปโรงพยาบาลได้แล้วค่ะ
3.น้ำเดิน มีน้ำไหลออกมาเรื่อยๆจากช่องคลอด ให้ไปโรงพยาบาลทันทีแม้จะไม่ปวดท้อง เนื่องจากโอกาสเสี่ยงต่อการติดเชื้อจะมากขึ้น และให้สวมผ้าอนามัยเพื่อซับน้ำไว้จะได้ไม่เลอะ
ส่วน อาการ เจ็บเตือน จะมีอาการ มดลูกบีบตัว แต่ความถี่ไม่แน่นอน และไม่สม่ำเสมอ อาการจะทุเลาลงเมื่อคุณแม่ได้พักผ่อน นั่งหรือนอนนิ่งๆสักครู่ค่ะ

เมื่อมีอาการ เจ็บท้องคลอด ต่อไปก็จะเข้าสู่ระยะของการคลอดซึ่งมี 4 ระยะ
ระยะที่1 เป็นระยะที่ ปากมดลูก เริ่มเปิดจนเปิดหมด ซึ่งจะใช้เวลาประมาณ12-16 ชม ในท้องแรก และ 6-12 ชมในท้องถัดไป แต่อันนี้ไม่แน่นะคะ บางคนก็ คลอดง่าย เหลือเกินก็จะใช้เวลาน้อยกว่านี้ค่ะ
ระยะที่2 เป็นระยะ เบ่งคลอด คือเริ่มตั้งแต่ ปากมดลูก เปิดหมด จน คลอด ทารก ออกมา ท้องแรก จะใช้เวลาประมาณ1-2 ชม ส่วนท้องถัดไปใช้เวลาประมาณ 0.5-1 ชม
ระยะที่3 เป็นระยะ คลอดรก โดยเริ่มหลังจากที่คลอด ทารก จนกระทั่ง คลอดรก และ เยื่อหุ้มรก หมด ใช้เวลาประมาณ 15-30 นาที
ระยะที่4 เป็นระยะ2 ชม แรก หลังคลอด เป็นระยะที่เฝ้าดูอาการคุณแม่ ซึ่งระยะนี้ มดลูก ยังมีการหดรัดตัว ซึ่งจะทำให้ไม่เกิดการ เสียเลือดหลังคลอด
พอพ้น ระยะที่4 ไปแล้วคุณแม่ก็พักผ่อนให้เพียงพอนะคะ เพราะอีกไม่ช้าคุณต้องเตรียมตัว เลี้ยงลูก น้อยของคุณแล้วล่ะค่ะ

No comments: