Tuesday, November 1, 2011
7 วิธีทำงานหน้าคอมพิวเตอร์ที่ทำลายสายตาเรา
1 ยื่นหน้าเข้าไปใกล้ๆ จอ ถ้าเรายื่นหน้าเข้าไปให้ใกล้กว่านั้น ดวงตาเราก็จะได้รับทั้งรังสีปริมาณมาก และได้เพ่งจอใกล้ๆ ด้วย ผลที่จะได้ระยะสั้นคือปวดหัว ปวดตา ส่วนระยะยาวคืออาจจะเป็นต้อหินและตาบอดได้ในที่สุดค่ะ
2 ตั้งจอให้แสงสะท้อนเข้าตา วางจอไว้ใกล้หน้าต่างตอนกลางวัน หรือตั้งโคมไฟไว้ใกล้ๆ หน้าจอ เพราะแสงที่สะท้อนออกมาจากจอคอมพิวเตอร์สามารถทำให้ดวงตาของเราเมื่อยล้าได้ ง่ายๆ
3 จ้องจอนานๆ
4 นั่งให้ผิดท่า
5 วางคีย์บอร์ดให้ผิดทาง
6 กินขนมหน้าคอมฯ
7 แช่แข็งตัวเองอยู่หน้าจอ
Monday, September 26, 2011
เมื่อลูกไม่สบาย
เมื่อลูกป่วย โดยเฉพาะเด็กเล็ก ๆ พ่อแม่มักจะกังวลใจจนแทบจะป่วยไปกับลูก หรือ บางคนมีอาการหนักมากกว่าลูกเสียอีก เพราะไม่ทราบว่าควรจะดูแลลูกอย่างไรดี เมื่อมีอาการป่วยเกิดขึ้น ซึ่งอาการต่าง ๆ ที่เป็นและพบได้บ่อยมีดังนี้
ไข้
อาการไข้ เป็นสัญญาณของร่างกายที่บ่งบอกว่ามีความผิดปกติเกิดขึ้นกับร่างกาย ใช้ปรอทวัดไข้ วัดอุณหภูมิของร่างกาย ถ้าคุณพ่อคุณแม่วัดไข้ทางปากโดยให้ลูกอมปรอทไว้ใต้ลิ้น หุบปากสนิทนาน 1 นาที อ่านอุณหภูมิได้เกิน 37.8 C ถือว่ามีไข้ ถ้าวัดปรอททางรักแร้โดยหนีบปรอทแน่น 1 นาที อ่านอุณหภูมิเกิน 37.3 C ถือว่ามีไข้ หรือการวัดปรอททางทวารหนักในเด็กเล็ก เกิน 38 C จึงจะถือว่ามีไข้
สาเหตุของไข้ ดังได้กล่าวข้างต้นว่าใช้เป็นสัญญาณของความผิดปกติ ดังนั้นจึงต้องหาสาเหตุที่ทำให้ เกิดไข้ สาเหตุของไข้ที่พบได้บ่อยได้แก่
- จากโรคติดต่อ- จากการได้รับวัคซีน- จากการอักเสบ - ไข้หลังผ่าตัด- ไข้จากการขาดน้ำ อุณหภูมิในร่างกายสูงขึ้น เด็กจะตัวร้อน อาจมีหนาวสั่น ตัวแดงหน้าแดงหัวใจเต้นเร็ว หายใจเร็ว ในเด็กโตจะบอกได้ว่า ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามกล้ามเนื้อและข้อ อาการไข้สูงถ้าปล่อยทิ้งไว้ จะมีโอกาสชักได้ โดยเฉพาะในเด็กอายุ 6 เดือนถึง 5 ปี ควรทำการลดไข้ให้เร็วที่สุด ดังนี้
- ให้ลูกดื่มน้ำมาก ๆ - อยู่ในที่มีลมถ่ายเทสะดวก หรือในห้องแอร์ที่ไม่เย็นจัด - เช็ดตัวลดไข้ โดยถอดเสื้อผ้าเด็กออกให้หมด ใช้ผ้าขนหนูผืนเล็ก 2 – 3 ผืน ชุบน้ำธรรมดา สลับกันเช็ดตัวเด็กทั้งตัว โดยเน้นบริเวณซอกคอ รักแร้ ขาหนีบ และหลังจนกว่าไข้จะลดลง การใช้ผ้าโปะไว้เฉพาะบริเวณหน้าผาก ไม่ช่วยทำให้ ไข้ลดลง- หลังเช็ดตัวแล้ว ควรใช้ผ้าแห้งซับให้แห้ง แล้วใส่เสื้อผ้าบาง เพื่อให้ร่างกายระบายความร้อนได้ดี - ถ้ามียาลดไข้ Paracetamol ให้รับประทานตามแพทย์สั่ง รับประทานซ้ำได้ทุก 4-6 ชั่วโมง ถ้ายังมีไข้
ถ้าลูกยังมีไข้สูงติดต่อกัน หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ ควรพบแพทย์
หวัด
อาการหวัด น้ำมูกไหล พบได้บ่อยในเด็ก เด็กที่อายุมากกว่า 6 เดือน จะพบได้ประมาณ 1-2 ครั้งต่อเดือน ใน 2-3 ขวบปีแรกที่ลูกเริ่มไปโรงเรียน จะเป็นหวัดได้บ่อย เนื่องจากที่โรงเรียนจะมี เด็กอยู่รวมกันมาก ทำให้ลูกติดหวัดจากเพื่อนได้ และเป็นวนเวียนกันไปเรื่อย ๆ อย่างไรก็ตาม เมื่อเด็ก โตขึ้น อายุเกิน 6 ปี อาการหวัดจะลดลงเหลือเพียง 2-3 ครั้งต่อปีเท่านั้น อาการหวัดจะพบได้บ่อย เมื่อมีอากาศเปลี่ยนแปลง อากาศเย็นหรือฝนตก อาการของหวัด จาม น้ำมูกไหล คัดจมูก ไอ มีไข้ ซึ่งอาการไข้มักมีอยู่ประมาณ 3 วัน ไม่เกิน 1 สัปดาห์ แต่อาการไออาจนานถึง 2-3 สัปดาห์ได้
สาเหตุ เกิดจากเชื้อไวรัส
การดูแลรักษา เชื้อไวรัสหวัดเป็นเชื้อที่ยังไม่มียารักษา ดังนั้นการรักษาหวัด จึงเป็นการรักษาตามอาการ โดยที่ถ้ามีไข้ จะให้ยาลดไข้ เช็ดตัว ถ้ามีน้ำมูกมากให้ยาลดน้ำมูก ดื่มน้ำบ่อย ๆ พักผ่อนมาก ๆ ถ้าไอให้ยาละลายเสมหะ ดื่มน้ำอุ่น จะช่วยให้อาการหวัดดีขึ้น
เวลาลูกมีน้ำมูกไหล ไอจะดูแลอย่างไร
- ในเด็กเล็ก น้อยกว่า 6 เดือน ใช้ลูกยางแดงดูดน้ำมูกในจมูก ดูดเสมหะในคอ ก่อนมื้อนม หรือใช้ผ้านิ่มพันปลายแหลม ซับน้ำมูกในรูจมูก ไม่ควรใช้ยาลดน้ำมูก เพราะจะทำให้เสมหะแห้งเหนียว เด็กไอไม่ออกได้ - ในเด็กอายุมากกว่า 6 เดือน ถ้ามีน้ำมูกมากสามารถให้ยาลดน้ำมูกได้ ให้ยาละลายเสมหะเมื่อไอ- ถ้าแน่น คัดจมูก ใช้ยาหยอดจมูกได้ แต่ไม่ควรหยอดติดต่อกันนานเกิน 4-5 วัน - ในเด็กโต ให้สั่งน้ำมูกเบา ๆ ถ้าลูกเป็นหลายวันแล้ว ยังมีน้ำมูกมาก เป็นยวงเขียว แสดงว่ามีการติดเชื้อแบคทีเรีย แทรกซ้อน ควรพามาพบแพทย์เพื่อให้ยาปฏิชีวนะ แต่ถ้าน้ำมูกเริ่มแห้ง และเป็นสีเขียว แสดงว่ากำลัง หายจากหวัด ไม่ต้องให้ยาปฏิชีวนะ
ภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดได้ ได้แก่
- หูน้ำหนวก เด็กจะมีไข้สูง ปวดหู มีหนองไหลจากหู - ไซนัสอักเสบ จะมีไข้ ปวดบริเวณหน้าผาก จมูก แก้ม น้ำมูกเขียวจำนวนมาก และมีกลิ่นเหม็น - หลอดลมอักเสบ จะไอมาก หายใจแรง- ปอดบวม จะมีไข้สูง ไอมาก หอบหายใจเร็วและแรง
เมื่อมีอาการดังกล่าว ควรรีบพบแพทย์
อาเจียน
เมื่อลูกอาเจียน คุณพ่อคุณแม่ควรสังเกตุลักษณะอาเจียนที่ออกมา ว่าเป็นเศษอาหาร เสมหะ สีอะไร อาเจียนแบบพุ่งหรือไม่พุ่ง เนื่องจากลักษณะอาเจียนต่าง ๆ จะช่วยในการวินิจฉัยโรคได้
อาเจียนเกิดจากอะไร สาเหตุของอาเจียนมีได้ ดังนี้
- จากสมอง มักมีอาเจียนพุ่ง- จากทางเดินอาหาร เช่น การอุดตันของกระเพาะ ลำไส้ หรือมีการอักเสบ ของทางเดินอาหาร- สาเหตุทางกายอื่น ๆ เช่น ไข้สูง ไซนัสอักเสบ คออักเสบ ติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ - สาเหตุอื่น เช่น รับประทานอาหารมากเกินไป
เมื่ออาเจียนออกมาแล้วมักจะสะบายขึ้น เมื่อลูกอาเจียนจึงควรพบแพทย์ เพื่อหาสาเหตุและให้การรักษาต่อไป
ถ้าลูกอาเจียนจะดูแลอย่างไร
- ควรให้รับประทานอาหารอ่อน ย่อยง่าย โดยให้ทีละน้อย บ่อย ๆ - ให้น้ำเกลือแร่ ORS เพื่อทดแทนเกลือแร่ที่เสียไปกับอาเจียน โดยให้จิบทีละน้อยและบ่อย ๆ - ให้ยาแก้อาเจียนตามแพทย์สั่ง ควรให้รับประทาน 1/2 ชั่วโมงก่อนมื้ออาหาร
เมื่อมีอาเจียนมาก รับประทานอาหารหรือน้ำไม่ได้เลย ซึมลง มีอาการขาดน้ำ กระหม่อมบุ๋ม ปากแห้งมาก ตาโหล ผิวหนังเหี่ยว แพทย์จะพิจารณาให้น้ำเกลือทางเส้นเลือด และรักษาสาเหตุต่อไป
Monday, July 11, 2011
ทำไมลูกบ้านนั้นไม่เห็นเป็น
โดย: นพ.ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์
จาก: นิตยสาร Life & Family
ภายในเวลาเดือนเดียว ผมได้พบเด็กไม่ยอมไปโรงเรียน 3 คน
คน แรกเริ่มมีอาการเมื่อคุณแม่ซื้อคอมพิวเตอร์เข้าบ้าน คนที่สองเริ่มไม่ไป โรงเรียนเมื่อคุณแม่ไปเรียนต่อปริญญาโทที่กทม. คนที่สามเริ่มไม่ไปโรงเรียนเมื่อคุณพ่อ ย้ายไปต่างจังหวัด น่าแปลกใจมากที่คุณพ่อคุณแม่ของทั้งสามบ้านพูดเหมือนกันอยู่ประโยคหนึ่งนั่น คือ
"บ้านนั้นพ่อเขาซื้อคอมพิวเตอร์เข้าบ้าน ก็ไม่เห็นลูกของเขาจะติดเกมจนไม่ยอมไปโรงเรียนนี่คะ"
"พี่ชายดิฉันก็ไปเรียนเมืองนอก ตอนที่เขาไปเรียนเมืองนอกไม่เห็นลูกเขาจะเป็นแบบนี้"
“ตอนมีลูกคนแรกผมก็ย้ายไปทำงานต่างจังหวัด ไม่เห็นพี่ของเขาจะมีปัญหาอะไร“
ทำนอง ว่าลูกเขายังไม่เห็นจะมีปัญหา ทำไมลูกของเราจึงต้องมีปัญหา ทำไมๆๆ คำตอบคืออย่าเทียบเด็กครับ อย่าเปรียบเทียบเด็กเด็ดขาด บ้านนั้นไม่เห็นเป็น แบบนี้ พี่หนูไม่เห็นเป็นแบบนั้น ทำไมลูกของคุณลุงเรียนเก่งจังเลยน้า เมื่อไหร่ลูกแม่จะ เรียนเก่งเสียทีน้า เลิกเถอะครับ ประโยคน้ำเน่าทำลายจิตใจเด็กๆ ทำนองนี้ เด็กเกิดมาใหม่ๆเป็นผ้าขาวนั้นจริง พ่อแม่และสังคมจะระบายสีอะไรลงไปก็ ได้สีอย่างนั้นเป็นแนวคิดที่ถูกต้อง แต่ว่าผ้าขาวแต่ละผืนบังเอิญไม่เหมือนกันเสียทีเดียว
ในทันทีที่เด็กทารกเกิด เด็กทารกแต่ละคนไม่เหมือนกันทันทีสามประการ
ประการแรก คือพวกเขามีพันธุกรรมคนละแบบ ได้เลือดพ่อแม่ปู่ย่าตายายลุงป้าน้า อาผสมปนเปกันมาไม่เหมือนกัน พ่อใครก็พ่อใคร ย่าใครก็ย่าใคร ต่อให้เป็นพี่น้องท้องเดียว กันก็ยังได้สัดส่วนของพันธุกรรมมาแตกต่างกัน คนพี่อาจจะได้จากปู่เยอะ คนน้องได้จากยาย เยอะกว่า เอ! อันที่จริงน้ากับอาไม่น่าจะเกี่ยวนะครับ
ประการที่สอง คือพวกเขามีระบบประสาทส่วนกลางคนละเรื่อง หมายความว่ามี สมองคนละก้อน จำนวนเซลล์สมองไม่เท่ากัน จำนวนแขนงประสาทที่ถักทอกันเป็นประชา สังคม...เอ๊ย...เป็นร่างแหก็ไม่เท่ากัน ยังไม่นับการให้นมและการอุ้มในหนึ่งขวบปีแรกยิ่ง ส่งผลกระทบต่อจำนวนเซลล์สมองและแขนงประสาท เซลล์สมองยิ่งมาก แขนงประสาท ประสานกันทุกทิศ เด็กๆก็มีศักยภาพของระบบประสาทส่วนกลางมาก
ประการที่สาม คือ พวกเขามีพื้นฐานทางอารมณ์ต่างกัน เด็กแต่ละคนเลี้ยงยาก เลี้ยงง่ายต่างกัน ทำนองว่าบางคนอารมณ์ดีแต่เกิด ในขณะที่บางคนอารมณ์ร้อนแต่เกิด ให้ สังเกตตรงความยากง่ายของการป้อนนม การกล่อมนอน การร้องกวน
แค่เกิดก็ไม่เหมือนกันถึงเพียงนี้ เลี้ยงกันไปอีก 8-9 ปี กว่าจะเกิดปัญหาเรื่อง ไม่ยอมไปโรงเรียน ลองใช้เซลล์ประสาทและแขนงประสาทที่ถักทอกันเป็นร่างแหในสมอง ของคุณพ่อคุณแม่คิดดูเถอะครับว่า ลูกเขาลูกเราจะแตกต่างกันเพียงใด แหม! ยาวจังเลย น่าจะเขียนว่าคุณพ่อคุณแม่คิดดูเถอะครับว่า ลูกเขาลูกเราจะแตกต่างกันเพียงใด สั้นๆก็พอ นะครับ
ผมมักแอบคิดในใจเสมอว่า หากคุณพ่อคุณแม่ขยันเปรียบเทียบลูกเรากับลูกเขา มากๆนะครับ เอาลูกไปแลกเขาเถอะ ง่ายดี
วันนี้พูดเรื่องเปรียบเทียบลูกเราลูกเขานะครับ เรื่องเด็กไม่ยอมไปโรงเรียน เก็บไว้ก่อน
แต่ยังมีคนที่สี่อีกคน คนนี้พิเศษกว่าสามคนแรก ฟังประวัติแล้วจะขนลุก
เหตุเกิดที่โรงเรียนอนุบาลแห่งหนึ่งในเขตแม่สาย ห่างจากกทม.ระยะทาง 809 กม.
คุณ แม่มาปรึกษาหมอว่า ลูกไม่ยอมไปโรงเรียน ทุกวันนี้ต้องจับอุ้มไปมัดไป ตรงที่ว่ามัดไปผมเขียนเว่อร์ครับ ครูก็มาอุ้มต่อจับต่อมัดต่อ เอาเข้าห้องเรียนจนสำเร็จ ตรงที่มัดยังเขียนเว่อร์อยู่ แต่พอสอนเลขก็ไม่ยอมทำโจทย์ ให้คัดไทยก็ไม่ยอมคัด
แม่ว่าใหม่ๆ ก็ช่วยกันกับคุณครู รุมตีก็แล้ว ดุก็แล้ว จนอ่อนใจ ไม่ยอมบวกเลข ไม่ยอมคัดไทยอยู่นั่นแหละ ตรงคำว่ารุมตีนี่ก็เขียนแบบใส่ร้ายป้ายสี ใส่สีตีไข่เข้าไป เดี๋ยวนี้ ก็เลยเลิกตี แต่เวลาไปโรงเรียนยังยากแสนยากเหนื่อยกันทุกเข้าเลย คุณหมอช่วยให้คำแนะ นำหน่อยสิคะ
"เด็กอายุเท่าไรแน่นะครับ" ผมถาม
"3 ขวบเต็มมาได้เดือนแล้วค่ะ" คุณแม่ตอบหน้าตาเฉย ทำเป็นทองไม่รู้ร้อน เอ๊ย คุณแม่ตอบหน้าตาเฉยแบบอินโนเซ้นส์ท์จริงใจในคำตอบ
ถึง ตอนนี้ ผมเกาะเก้าอี้ไว้ไม่ให้หงายหลัง หลังจากให้คำปรึกษาแก่คุณแม่เกี่ยวกับความพร้อมของลูก เด็กเล็กขนาดนี้ไม่ใช่ เรื่องซีเรียสอะไรเลย ที่จะมาเคี่ยวเข็ญให้คิดเลขคัดไทย
"ที่โรงเรียนเขาให้วาดเขียนด้วยค่ะ แต่ลูกเขาก็วาดให้อยู่ในขอบไม่ได้ ได้ ศูนย์กลับบ้านทุกทีเลย คุณครูเขาบ่นทุกวันตอนไปรับนะคะ"
ถึง ตอนนี้ ผมเกาะโต๊ะไว้อย่างเหนียวแน่น ห้ามตกใจหงายหลังเด็ดขาด เสีย บุคลิก แล้วก็เริ่มให้คำปรึกษาเกี่ยวกับกล้ามเนื้อเล็กระหว่างนิ้วมือทั้งสิบของ เด็ก 3 ขวบ ว่าทำอะไรได้ ทำอะไรไม่ได้ คุณแม่เขาดีใจมากเลยครับ ตอนนี้หน้าตาเขาดูสดใส แจ่มกระจ่างเหมือนท้องฟ้าประเทศไทยคืนที่เกิดจันทรุปราคาเต็มดวงยาวนานที่ ว่าพันปีมีครั้ง แต่ยังขออีกคำถาม
"ลูกคนอื่นไม่เห็นเป็นนี่คะ พวกนั้นก็ 3 ขวบ เรียนกันได้ทุกคน"
ไม่ นะครับ อย่าเปรียบเทียบลูกเรากับลูกใครทั้งนั้น ลูกเราคือลูกเรา จะเลี้ยงไม่เลี้ยง จะรักไม่รักจะเอาไม่เอาคิดดูให้ดีๆ คำตอบคือทั้งเอาทั้งรักจะเลี้ยงต่อ เพราะ ฉะนั้นเลิกความคิดเปรียบลูกเรากับลูกคนอื่นเสีย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเปรียบเทียบต่อหน้าเขา
หาก เป็นวัยรุ่นยิ่งเป็นข้อห้าม อย่าเทียบเขากับใครทั้งนั้น นอกจากจะไม่ได้ผล และเกิดผลเสียต่อจิตใจเขาแล้ว ยังอาจจะเกิดผลเสียต่อจิตใจคุณพ่อคุณแม่ด้วย เพราะวัย รุ่นมักคิดหรือพูดว่าพ่อแม่บ้านนี้ก็ไม่เหมือนพ่อแม่บ้านโน่นเช่นเดียวกัน
รวม ทั้งอย่าเทียบวัยรุ่นชายกับพ่อของเขา หรือวัยรุ่นหญิงกับแม่ของเขา หรือ เทียบสลับกันก็ไม่ได้ ท่องไว้อย่าลืมเลยครับว่าเด็กวัยรุ่นนั้นเป็นบุคคลอิสระ เขาเป็นเขา และไม่มีวันเหมือนเรา อย่าพยายามปั้นเขาดั่งใจ มิเช่นนั้นน้ำตาจะเช็ดหัวเข่า
อย่าทำเหมือนนางจันท์เทวี ลูกสังข์ช่วยดูแลบ้านอยู่ดีๆ
Friday, June 24, 2011
ปัญหามีปัญญาเกิด
อายุที่เพิ่มมากขึ้น แน่นอนเราต้องพบเจออะไรๆมามายมายหลายอย่าง สิ่งเหล่านั้นแหละจะทำให้เราแข็งแกร่งขึ้น พร้อมต่อสู้กับอุปสรรคและปัญหาต่างๆที่เราไม่รู้เลยว่าอะไรจะวิ่งมาหาเรา อย่างที่บอกปัญหาทำให้เราหาทางแก้ไขกับมัน นั่นหมายถึงปัญหาทำให้ปัญหาเกิด ทำให้เราคิดหาทางแก้ไขกับมัน ทุกอย่างมีทางออก ไม่ว่าทางออกนั้นจะเป็นเช่นไร แต่มันก้อเป็นทางออกที่ทำให้เราออกมาจากปัญหานั้นได้
อย่าท้อ อย่าทอย ทุกอย่างเป็นบททดสอบในชีวิตของเรา เราต้องเจอกับอะไรอีกหลายอย่างที่เราไม่สามารถล่วงรู้ได้ อดทน สู้ต่อไป ตราบใดที่เรายังมีชีวิตอยู่
Tuesday, June 14, 2011
ลูกสำลักบ่อย
คำแนะนำสำหรับคุณพ่อคุณแม่
“ปัญหาการสำลัก จะพบบ่อยในเด็กที่อายุตั้งแต่ 6 เดือน-3 ปี เพราะเป็นช่วงวัยที่เด็กได้รับอาหารเสริม ที่มีลักษณะแข็งมากขึ้น และเป็นวัยที่เด็กสามารถใช้นิ้วมือหยิบจับอาหาร สิ่งของเข้าปากได้เอง จึงมีความเป็นไปได้ที่จะเกิดการสำลักจากการนำสิ่งของ เข้าปาก โดยเฉพาะช่วง 1 ขวบปีขึ้นไปที่สามารถเดิน วิ่งเล่น หรือกระโดดไปมาได้แล้ว ควรเริ่มฝึกให้เด็กสามารถนั่งกินข้าวได้เองที่โต๊ะอาหาร เพื่อเป็นการสอนให้เด็กรู้จักเวลากิน และลดปัญหาการสำลัก
ส่วนกรณีที่เด็กเล็กอายุน้อยกว่า 6 เดือนสำลัก โดยส่วนมากแล้วพบได้ไม่บ่อย เพราะหากพ่อแม่รู้จักวิธีการป้อนนมที่ถูกต้อง โอกาสที่ลูกจะสำลักนมก็มีน้อยลง แต่หากลูกมีอาการสำลัก แล้วไม่มั่นใจ ก็ควรปรึกษาแพทย์โดยทันที ขอแนะนำแม่มือใหม่ว่า ควรให้ลูกได้รับนมแม่ เพราะโอกาสที่ลูกจะสำลักจากการกินนมแม่นั้นมีน้อยมาก แต่หากจำเป็นต้องให้ลูกได้รับนมผสม ก็ควรให้นมอย่างถูกวิธี และระมัดระวัง ดูแลอย่างใกล้ชิด เช่น พ่อแม่ที่ยังอ่อนประสบการณ์อาจตกใจกับอาการสำลัก จับเด็กขึ้นทันที ทำให้นมที่ไหลค้างอยู่ในปาก ไหลย้อนกลับไปที่หลอดลม ทำให้เด็กเกิดการสำลักได้ ดังนั้น คุณพ่อแม่คุณแม่ควรจับเด็กนอนตะแคง เพื่อให้นมที่ค้างอยู่ไหลออกมาให้หมดก่อน
เรื่องที่ควรให้ความสำคัญคือ การเลือกอาหารที่เหมาะสมกับวัย วิธีการป้อนอาหาร การเลือกของเล่นให้ลูก รวมถึงการดูแลและปฐมพยาบาลเด็กในเบื้องต้นได้อย่างถูกวิธี ก็เท่ากับเป็นการเฝ้าระวังความปลอดภัยให้ลูกน้อยของคุณพ่อคุณแม่นั่นเอง”
Monday, May 23, 2011
ลูกตาเข
แรกเริ่มเดิมทีไม่ได้สังเกตเห็นเพราะอาการตาเขของลูกไม่เด่นชัดมาก แต่มาวันหนึ่งหลานที่เป็นเพื่อนเล่นของลูกเค้าทักว่าลูกสาวมีอาการตาเข เราเลยเริ่มเอะใจ ลองสังเกตุดูก้ออืมนะ เป็นจริงๆด้วย เลยต้องพอไปพอจักษุแพทย์ หมอบอกว่าตาเขมีได้หลายสาเหตุ สาเหตุนึงที่คาดว่าลูกน่าจะเป็นคือสายตายาว หมอเลยขอตรวจประสาทตาก่อนแล้วหลังจากนั้นมาวัดสายตาดู วัดสายตาเสร็จได้ค่าตรงที่ 450 หมอว่ายาวมโหฬารเลย แบบนี้ต้องใส่แว่นช่วย แล้วต้องมาตรวจดูอีกครั้งอีก 6 เดือนว่าสายตาปรับเปลี่ยนไปอย่างไรบ้าง
หมอบอกโชคดีที่คุณแม่มาพบหมอแต่เนิ่นๆ (ตอนนี้ลูกสาว 5 ขวบแล้วคะ) เพราะไม่เช่นนั้นสายตาข้างที่มีปัญหา หมายถึงข้างที่เข ซึ่งของลูกสาวจะเป็นข้างซ้าย ตาดวงนั้นจะขี้เกียจทำงานทำให้เป็นสายตาขี้เกียจแล้วจะทำให้ตาข้างนั้นหยุดการทำงานไป อืมคุณแม่ก้อเคยสังเกตุเห็นนะคะว่าลูกจะเป็นตาข้างที่มีปัญหาไว้บ่อยๆโดยใช้ตาข้างเดียวมอง
หากคุณแม่คนไหนอยากหาข้อมูลเพิ่มเติมลองคลิ๊กต่างๆด้านล่างดูนะคะ จะได้ช่วยคลายปัญหาเรื่องตาเขของลูกแล้วรีบรักษาได้ทันท่วงทีนะคะ
http://www.doctor.or.th/node/4488
http://www.oknation.net/blog/optometry/2009/07/20/entry-1
http://community.momypedia.com/webboard_topic.aspx?tid=287575
Monday, April 25, 2011
พัฒนาการ ขวบหกเดือน
เดือนนี้เจ้าตัวเล็กจะเริ่มก้าวเท้าเดินได้อย่างมั่นคงมากขึ้น จึงชอบการปีนป่ายและเมื่อไหร่ที่ส่ง
ลูกบอลให้ เขาจะเริ่มรับรู้ทิศทางและรู้ว่าจะเตะกลับมาให้เราได้อย่างไรแล้ว สมองของเขาก็เริ่ม
จดจำอะไรได้เร็วขึ้น ลองเล่นเกมซ่อนของกับเขาดูสิคะ เช่น บอกเขาว่าวันนี้เรามาหาของที่แม่
ซ่อนไว้กัน แม่จะซ่อนเอาไว้ 5 ชิ้นนะ ชิ้นแรกเป็น จาน หนูลองหาดูสิคะว่าอยู่ไหน? เพื่อฝึกทักษะเรื่องความจำของเขาเป็นอย่างดีเลยค่ะ
เคล็ดลับเพื่อพัฒนาการที่ดี
ให้ลูกน้อยได้สนุกกับงานศิลปะหลายๆ แบบดูนะคะ อย่างเช่น วาดรูป ปั้นดินน้ำมัน เอากระดาษ
มาแปะต่อๆ กันเป็นรูป หรืออะไรก็ได้ที่เขาชอบ จะช่วยพัฒนาการทางสมองด้านจินตนาการ
ของเขาได้เป็นอย่างดีเลยค่ะ
Monday, April 4, 2011
ขุมทรัพย์ใกล้ตัว
คนเรามักแสวงหาความสุขนอกตัว
เสียเงินเสียทองไปมากมายกับสิ่งเสพนานาชนิด
แต่แท้ที่จริงความสงบนั้นมีอยู่แล้วในลมหายใจของเรา
มีของใกล้ตัวอย่างหนึ่งที่เรามักใช้อย่างไม่คุ้มค่า
และทิ้งไปโดยเปล่าประโยชน์ ทราบหรือไม่ว่าของที่ว่านั้นคืออะไร?
ถ้าตอบว่า น้ำ ไฟ กระดาษ ก็ขอบอกว่า "ผิด"
คำตอบคือ ลมหายใจ
พูดอย่างนี้ บางคนอาจสงสัยว่า
ทุกวันนี้มีชีวิตอยู่ได้ก็เพราะอาศัยลมหายใจ เท่านี้ยังไม่พออีกหรือ?
จริงอยู่ ลมหายใจช่วยให้เราเป็นผู้เป็นคนอยู่ได้
แต่นี้ก็เป็นคุณอนันต์แล้ว แต่ลมหายใจยังมีคุณค่านอกเหนือจากนั้น
คุณค่าอย่างหนึ่งที่เรามักมองข้ามก็คือ
ลมหายใจนั้นเป็นเพื่อนเตือนใจเราได้
เวลาเราโกรธใครสักคน ก่อนที่จะหลุดปากด่าว่าเขา
ลองหายใจเข้าลึกๆ แล้วผ่อนออกมาช้าๆ สัก 5 เที่ยว 10 เที่ยว
ความอัดอั้นเก็บกดอยากระบายโทสะหรือแผดเสียงใส่เขา จะลดลงไปมาก
สติที่เกือบจะหลุดหายไปจะกลับคืนมาอย่างรวดเร็ว
ถึงตอนนั้น เราจึงจะนึกขึ้นมาได้ว่า หากเราหลุดปากไป
เราเองนั้นแหละเป็นฝ่ายเสียหายหลายแสน ไม่ใช่เขาคนนั้น
ยาสลายนิ่ว ยาละลายไขมันก็มีแล้ว
ไม่สนใจยาสลายความโกรธบ้างหรือ
ลมหายใจนี่แหละเป็นยาสลายความโกรธชั้นดี
แถมยังมีสรรพคุณอเนกประสงค์ ใช้สลายความก ลัวก็ได้
สลายความเครียดก็ยิ่งดีเข้าไปใหญ่
กายกับใจนั้นสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิด
เวลาเกิดโทสะขึ้นมาในใจหัวใจจะเต้นเร็ว
ลมหายใจถี่กระชั้น นี่เรียกว่าใจมีผลต่อกาย
แต่ขณะเดียวกันกายก็มีผลต่อใจด้วย
ไม่เชื่อลองหายใจเร็วๆ สั้นๆ สักพัก จะรู้สึกเครียด
คนที่หายใจตื้นและถี่จะเป็นคนหงุดหงิดง่าย
ในทางตรงกันข้าม ถ้าหายใจเข้าลึกๆ และหายใจออกยาวๆ ใจจะเบาคลาย
ลองสังเกตดูเถิด เวลาเราโกรธ กลัว ประหม่า ลมหายใจจะถี่และตื้น
แต่ถ้าเรารู้ตัวหรือจับความรู้สึกของตัวเองทันท่วงที
รีบเอาลมหายใจมาใช้ให้เป็นประโยชน์ด้วยการกำหนดลมหายใจเข้าออกลึกๆ
ความรู้สึกโปร่งโล่งจะเข้ามาแทนที่ความเร่าร้อนวุ่นวายใจ
คนที่เครียดบ่อยๆ ลองหายใจแบบนี้ดูบ้าง
จะรู้สึกสบายขึ้นมาก
ถ้าใช้ลมหายใจให้เป็น นอกจากลมหายใจจะเป็นเพื่อนเตือนสติ
และเป็นยาคลายความเครียดชั้นดีแล้ว
เรายังจะพบต่อไปด้วยว่า ในลมหายใจนั้น
มีทรัพย์ล้ำค่าที่ใช้เท่าไรก็ไม่มีวันหมด
ทรัพย์ที่ว่าก็คือ ความสุขสงบ
คนเรามักแสวงหาความสุขนอกตัว
เสียเงินเสียทองไปมากมายกับสิ่งเสพนานาชนิด
แต่แท ้ที่จริงความสงบนั้นมีอยู่แล้วในลมหายใจของเรา
การหายใจเข้าออกช้าๆ อย่างที่ว่ามา เป็นบันไดเบื้องต้นสู่ความสงบ
ถ้าอยากให้เกิดผลดียิ่งขึ้นก็ให้น้อมใจไปจดจ่ออยู่ที่ลมหายใจด้วย
ยิ่งจิตใจแนบชิดสนิทกับลมหายใจมากเท่าไร ก็ยิ่งดีมากเท่านั้น
หรือจะนับด้วยก็ได้ เช่น หายใจเข้านับ 1 หายใจออกนับ 1
จากนั้นหายใจเข้านับ 2 หายใจออกนับ 2 เรียงไปจนถึง 5 หรือต่อไปถึง 10 ก็ได้
ที่แล้วมาเราหายใจออกแบบทิ้งๆ ขว้างๆ กันจนเป็นนิสัย
ส่วนลมหายใจเข้าเราก็นึกว่ามีแต่ออกซิเจนเท่านั้น
แท้จริงลมหายใจเข้าและออกมี "ของดี" มากมายกว่านั้น
ในลมหายใจมีทั้งสติ มีทั้งความผ่อนคลายและความสุขสงบ
มีอะไรต่ออะไรมากมายที่ลมหายใจสามารถให้เราได้
ข้อสำคัญคือเราต้องใส่ใจกับลมหายใจของเราให้มากกว่านี้
แทนที่จะละเลยจนลืมตัวบ่อยๆ ว่าเรากำลังหายใจอยู่
-------------------------------------------------
จาก ร่มไม้และเรือนใจ
Wednesday, February 9, 2011
สัมพันธภาพ กุญแจสำคัญป้องกันลูกวีน
หลักง่ายๆ ในการป้องกันคือต้องรู้เหตุผลและที่มาที่ไปของพฤติกรรมของลูก ที่สำคัญคือสัมพันธภาพระหว่างพ่อแม่และลูกจะมีส่วนช่วยให้ลูกพัฒนาความ สามารถในการควบคุมตนเองโดย
- ใช้เวลา ร่วมกับลูกในกิจกรรมต่างๆ และให้ลูกได้เป็นผู้นำการเล่น โดยคุณพ่อคุณแม่ไม่ควรสั่งหรือบงการให้ลูกทำตาม หรือถามคำถามมากมาย และแสดงให้ลูกรู้ว่าคุณพ่อคุณแม่รักเขา (เช่น โอบกอด สัมผัส พูดบอกเขา)
- ฟังลูก เน้นว่าต้องฟังให้เข้าใจ ไม่ใช่แค่ฟังให้ได้ยินเท่านั้น อีกทั้งท่าทีในการฟังก็ต้องแสดงให้ลูกเห็นว่าคุณสนใจ ไม่ใช่ฟังแต่ไม่สนใจลูกนะคะ
- ให้ลูกได้พัฒนาทักษะการแก้ปัญหา ต่างๆ โดยไม่จำกัดความคิดของลูก ให้เขาค่อยๆคิดแก้ปัญหาด้วยตนเองไปทีละขั้นตอน ให้โอกาสและเวลาเด็กได้ฝึกคิดและทำสิ่งต่าง ๆ ด้วยตนเอง จะทำให้เขามีทักษะและภูมิใจในตนเอง เช่น กินข้าวเอง แต่งตัวเอง และช่วยงานบ้านง่าย ๆ รวมทั้งเวลามีปัญหาอย่ารีบช่วยเหลือหรือบอกว่าเขาควรทำอะไร แต่ให้ถามว่า “หนูจะทำอย่างไร”
- เข้าใจความแตกต่างระหว่างเด็กแต่ละคน อย่าพูดเปรียบเทียบลูกกับพี่น้องหรือเด็กคนอื่น เพราะนอกจากจะไม่ช่วยอะไรแล้ว ลูกอาจรู้สึกไม่ดีกับคุณ
สิ่งเหล่านี้นอกจากจะช่วยป้องกันปัญหาลูกงอแง วีนได้แล้ว ยังป้องกันปัญหาพฤติกรรมอื่นๆ ของลูกได้ด้วยนะคะ
ทั้งหมดนี้ ต้องค่อยๆ นำไปใช้กับลูก โดยตัวคุณพ่อคุณแม่ต้องมีอารมณ์ที่สงบก่อน เพื่อจะเป็นหลักในการช่วยลูกแก้ปัญหาและพัฒนาพฤติกรรมไปในทิศทางที่ดีและ เหมาะสมได้ค่ะ
Monday, February 7, 2011
วางแผนการเงินเพื่อการศึกษาลูก
ดังนั้น ในการวางแผนการศึกษาให้กับลูก เราต้องมีการวางแผนทางการเงินควบคู่กันไปด้วยครับ
ทางเลือกในการออมเงินเพื่อการศึกษาของลูก
ทางเลือกที่ 1 วิธีที่ง่ายที่สุดก็คือ การเปิดบัญชี เงินฝากไว้ในชื่อลูก แล้วก็ใส่เงินเป็นงวดๆ ทุกเดือนไป ปัญหาของการใช้วิธีนี้คือ จะได้ผลตอบแทนค่อนข้างต่ำในระยะยาว และพ่อแม่ต้องมีวินัยในการออมเงินจริงๆ เพราะฝากง่ายก็ถอนง่าย ดังนั้นถ้าจะเลือกวิธีนี้ อาจใช้ประเภทบัญชีฝากประจำพิเศษปลอดภาษีที่หลายธนาคารมีอยู่ ซึ่งกำหนดให้ฝากเงินเป็นประจำทุกเดือนเป็นระยะเวลา 2 ปี โดยรับฝากไม่เกิน 25,000 บาทต่อเดือนก็ได้
ทางเลือก ที่ 2 ที่หลายคนทำกันคือ การ ทำประกันชีวิตแบบออมทรัพย์ในชื่อของลูก วิธีนี้เหมาะสำหรับพ่อแม่ที่ไม่มีวินัยทางการเงิน จึงต้องให้บริษัทประกันชีวิตบังคับให้ออมโดยการชำระเบี้ยประกันเป็นงวดๆ เป็นระยะเวลาหลายปี เมื่อครบกำหนดอายุถ้าลูกไม่ได้เสียชีวิต บริษัทประกันชีวิตก็จะจ่ายเงินก้อนให้ ซึ่งส่วนใหญ่คือทุนประกันนั่นเอง ข้อด้อยสำหรับทางเลือกนี้คือเงินที่เราจ่ายไปทุกปีจะถูกบริษัทประกันชีวิตนำ ไปใช้เป็นค่าบริหารงาน และรับความเสี่ยงการประกันชีวิตด้วย ผลตอบแทนที่จะได้จึงไม่ได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยสักเท่าไหร่
ทางเลือกที่ 3 คือการซื้อพันธบัตรรัฐบาล หรือหุ้นกู้บริษัทเอกชน ซึ่งวิธีนี้ต้องใช้เงินก้อนใหญ่ลงทุนก่อน เพื่อที่จะได้ดอกเบี้ยที่สูงกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝากของธนาคารเป็นงวดๆ (ปกติปีละ 2 ครั้ง) เป็นระยะเวลาหนึ่ง โดยเมื่อครบกำหนดแล้ว จะได้เงินต้นที่ลงทุนไว้ตั้งแต่แรกคืนมา
(ถ้า ผู้ออกพันธบัตร หรือหุ้นกู้ไม่เบี้ยวหนี้) ข้อด้อยของทางเลือกนี้คือ สภาพคล่องของตราสารเหล่านี้มีน้อยกว่าเงินฝาก และถ้าเราต้องการขายออกก่อนวันครบกำหนด เราอาจขาดทุน นอกจากนี้ ดอกเบี้ยที่ได้ส่วนใหญ่ไม่ได้ปรับตามอัตราเงินเฟ้อ ปีแรกได้ 5% ปีที่ 8 ก็ยังได้ 5% อยู่
ทางเลือก ที่ 4 เป็นการลงทุนผ่านกองทุนรวม ซึ่งมีการนำเงินไปลงทุนได้หลากหลาย มีทั้งตราสารระยะสั้น ตราสารระยะยาว หุ้น ทองคำ หรือแม้กระทั่งการลงทุนในต่างประเทศ ข้อด้อยของทางเลือกนี้คือ ผลตอบแทนจะไม่แน่นอนโดยเฉพาะในระยะสั้น ทำให้พ่อแม่หลายคนไม่ค่อยสบายใจ แต่ที่จริงจะเป็นวิธีที่ทำให้เงินของเราพอกพูนขึ้นในระยะยาวได้ดีวิธีหนึ่ง
นอกจากนี้ ยังมีทางเลือกอื่นๆ อีก แต่อาจเป็นสิ่งที่คนส่วนใหญ่ทำได้ยาก เช่น การแต่งตั้งผู้ดูแลทรัพย์สินให้นำผลตอบแทนที่ได้จากการลงทุนไปจ่ายให้กับ สถาบันการศึกษาโดยตรง เป็นต้น
การวางแผนการเงินสำหรับการศึกษาของลูกควรแบ่ง เงินออกเป็นส่วนๆ ตามระยะเวลาที่ต้องใช้เงินในแต่ละช่วงเวลา ควรใช้การออมและการลงทุนหลายๆ อย่างประกอบกัน โดยปรับส่วนประกอบให้เหมาะสมกับสภาวการณ์ และเวลาที่เหลืออยู่ เช่น เงินก้อนที่เตรียมไว้สำหรับลูกเข้าเรียนระดับมัธยมในอีก 7 ปีข้างหน้าอาจมีการลงทุนในหุ้นอยู่ แต่เมื่อเวลาผ่านไปจนลูกเรียนอยู่ ป.4 ก็ควรปรับสัดส่วนมาเป็นการลงทุนที่เสี่ยงน้อยแทนครับ
ขอบคุณมามี่พีเดียคะ
Thursday, January 20, 2011
ความสุขอยู่ที่ใด
> ความสุขไม่ได้อยู่ที่จุดหมายปลายทางที่ไปถึง
>
> คุณบอกกับตัวเองว่า เมื่อได้แต่งงาน และมีลูก ชีวิตของคุณก็จะดีขึ้น
> แต่เมื่อมีลูก และลูกของคุณยังเล็กอยู่ คุณก็เกิดความรู้สึกว่า
> เมื่อเขาโตขึ้นเราคงมีความสุขและสบายขึ้น
>
> แต่เมื่อลูกโตมากขึ้น จนย่างเข้าสู่วัยรุ่น
> คุณกลับรู้สึกไม่ได้ดั่งใจอีกครั้ง
> และเมื่อลูกๆ ผ่านพ้นช่วงวัยรุ่นไปได้
> คุณคิดว่า คุณจะมีความสุขมากขึ้น
> แต่คุณกลับบอกกับตัวเองอีกว่า จะรอให้ลูกๆ
> จัดการกับตัวของเค้าเองให้เรียบร้อยดีเสียก่อน
>
> บางครั้งคุณคิดว่า ถ้าคุณมีบ้าน มีรถ มีวันหยุดพักร้อนนานๆ
> และเมื่อถึงวันเกษียณอายุการทำงาน
> ชีวิตของคุณจะมีความสุขมากที่สุด
> แต่เมื่อเกษียนแล้วก็จริง แต่ทำไมถึงยังไม่มีความสุขสักที
>
> ความสุขของชีวิตอยู่ที่ไหนกัน ?
> แท้จริงแล้ว ความสุขของชีวิต อยู่ ณ ช่วงเวลาขณะนี้ ช่วงเวลาปัจจุบัน
> ไม่ต้องรอให้ความสุขมาหาเราในอนาคต
> เราควรมีความสุข และพึงพอใจกับความสุขอยู่ในปัจจุบัน
>
> ชีวิตของมนุษย์ทุกคน ต้องมีสิ่งท้าทายเข้ามาอยู่ตลอดเวลา ทั้งอุปสรรคต่างๆ
> หรือบททดสอบชีวิตอันยากเข็ญ
> แต่ในที่สุดเราก็จะต้องก้าวผ่านไป อุปสรรคกับชีวิตเป็นของคู่กัน
> ดังนั้น เป็นหน้าที่ของเรา
> ที่ต้องหาความสุขและความพึงพอใจจากการเดินทางบนถนนแห่งชีวิตนี้ซึ่งจะทำให้ ชีวิตมีความสุข
> มากกว่าที่จะรอให้ถึงจุดหมายปลายทางก่อน
> แล้วถึงจะมีความสุขได้
>
> เริ่มหยุดพูดกับตัวเองเสียทีว่า
> ถ้าฉันลดน้ำหนักได้สัก 5 กิโล ฉันถึงจะมีความสุข
> ถ้าฉันได้แต่งงาน ฉันถึงจะมีความสุข
> ถ้าผมมีเงินเก็บ 10 ล้าน ผมถึงจะมีความสุข
> ถ้าผมรวย ผมถึงจะมีความสุข
> ถ้าคุณหยุดพูดถึงสิ่งเหล่านี้ได้ ชีวิตของคุณก็จะมีความสุข
> และคุณจะรู้สึกพึงพอใจกับชีวิต
>
> ตอบคำถาม ต่อไปนี้
> 1. บอกชื่อคน 3 คน ที่รวยที่สุดในโลก
> 2. บอกชื่อนางงามจักรวาล 3 คนล่าสุด
> 3. บอกชื่อ ผู้ที่ได้รับรางวัลโนเบล 3 คนล่าสุด
> 4. บอกชื่อนักแสดงนำชาย 3 คนล่าสุด ที่ได้รับรางวัลออสการ์
>
> นึกไม่ออกใช่ไหม? ไม่ใช่เรื่องแปลก
> ไม่มีใครหรอกที่จะจดจำคนเหล่านี้ได้ทั้งหมด
Thursday, January 13, 2011
15 สัญญาณเตือน “อัลไซเมอร์” กำลังมา เยือน
จริงๆ แล้วอาการขี้หลงขี้ลืมก็มีกันอยู่ทุกคนค่ะ แต่ส่วนใหญ่สาเหตุจะมาจากการที่เราไม่มีสมาธิกับการทำสิ่งนั้นๆ จึงไม่ได้สนใจจดจำ หรือคิดทำอะไรหลายๆ อย่างพร้อมกันทำให้สมาธิในการจดจำสั้นลง แต่ในปัจจุบันมีการสำรวจพบว่าเพราะความเครียด มลพิษ ปัญหาต่างๆ ที่เร่งเร้า และอายุที่เพิ่มมากขึ้นก็เป็นสาเหตุที่ทำให้เรากลายเป็นคนขี้ลืม และนำไปสู่โรคความจำเสื่อมหรือ อัลไซเมอร์ได้เช่นกัน แต่อย่าชะล่าใจไปนะคะว่าการลืมของเราเป็นเพียงอาการเล็กน้อยเพราะความเครียด หรือความไม่ใส่ใจ เพราะจริงๆ มันอาจจะเป็นสัญญาณเตือนของโรคที่ร้ายแรงกว่านั้นก็ได้
เพื่อให้ คุณๆ ตั้งตัวรับโรคนี้ได้ทัน เรามาสำรวจตัวเองและคนรอบข้างจาก 15 สัญญาณที่เตือนว่าคุณอาจจะกำลังเข้าข่ายการเป็นอัลไซเมอร์กันดีกว่าค่ะ
1. หงุดหงิด อารมณ์เสียง่ายกว่าปกติ เพราะไม่สามารถควบคุมอารมณ์ตัวเองได้
2. การตัดสินใจแย่ลง เปลี่ยนใจง่าย เช่น ถ้ามีเซลล์แมนมาขายของที่หน้าบ้านก็จะซื้อทันทีซึ่งจะต่างจากแต่ก่อนที่จะ ไม่ซื้อของพวกนี้เลยหรือ ไม่ใช้จ่ายอะไรง่ายๆ ซึ่งข้อนี้มักจะนำไปสู่ปัญหาด้านการเงินด้วย คือใช้จ่ายแบบไม่คิด ใช้เงินโดยไม่คำนวณ ไม่มีการออมไว้เหมือนแต่ก่อน
3. งานหรือกิจกรรมอะไรที่เคยทำอยู่ประจำจะกลายเป็นงานที่ทำได้ยากขึ้น เช่น ลืมวิธีผูกเนคไท ลืมวิธีผูกเชือกรองเท้า หรือถ้าจะทำไข่เจียวก็แตกไข่แตกเละคามือ ลืมปรุง หรือทอดโดยไม่ใส่น้ำมัน เป็นต้น
4. วางของผิดที่ผิดทาง เช่น เอากระเป๋าตังค์ไปใส่ไว้ในตู้เย็น เอาช้อนส้อมไปใส่ไว้ในลิ้นชักตู้เสื้อผ้า โดยไม่คิดว่าเป็นเรื่องผิดและยังใช้ชีวิตปกติทั้งที่ข้าวของยังวางผิดที่
5. สับสนเรื่องเวลา โดยมักจะคิดว่าเวลาผ่านไปนานกว่าปกติ เช่น นั่งรอห้านาทีก็จะคิดว่านั่งรอมาห้าชั่วโมง หรือเพิ่งใส่เสื้อตัวเก่งไปแล้วเมื่อวาน แต่คิดใส่เสื้อตัวนั้นไปเมื่ออาทิตย์ก่อน เดือนก่อน เป็นต้น
6. สื่อสารกับคนอื่นยากขึ้น โดยเฉพาะเรื่องการพูด มักจะเรียงลำดับคำผิด ใช้คำผิด พูดผิด หรือคิดไม่ออกว่าจะใช้คำว่าอะไร จะพูดว่าอะไร
7. เดินออกไปข้างนอกอย่างไม่มีจุดหมาย มักจะเดินออกไปที่ไหนซักที่โดยไม่รู้ว่าจะไปทำไม ไปทำอะไร
8. ทำกิจกรรมบางอย่างแบบมีเหตุผลและซ้ำๆ เช่น เดินไปเปิดตู้เย็นแล้วก็ปิดทันทีโดยที่ไม่ได้อยากหยิบอะไร พอเดินกลับมานั่งก็จะลุกขึ้นไปเปิดและปิดแบบเดิมอีกซ้ำๆ
9. ไม่ค่อยดูแลตัวเอง ทั้งเรื่องการตัดผม ตัดเล็บ หวีผม หรือลืมแม้กระทั่งว่าตื่นมาจะต้องล้างหน้าแปรงฟัน
10. แสดงพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม พูดหรือทำในสิ่งที่โดยปกติจะไม่พูด เช่น พูดว่าคนอื่นว่าอ้วนออกมาตรงๆ เพราะขาดความคิดในการชั่งใจหรือตัดสินใจว่าอะไรถูกหรือผิดเหมือนตอนที่ยัง ไม่เริ่มมีอาการ
11. รู้สึกหวาดระแวงอยู่ตลอดเวลา หรือมักจะชอบคิดว่าตัวเองเห็นใครหรืออะไรคอยซุ่มดูตัวเองอยู่ หรือกลัวคนจะมาทำร้ายตลอดเวลา
12. นอนหลับยาก กระสับกระส่ายในตอนกลางคืนมากกว่าแต่ก่อน
13. ถอยห่างออกมาจากครอบครัว เพื่อน รวมไปถึงกิจกรรมเดิมๆ ที่เคยทำ เช่น ไม่พูดคุยกับใคร ไม่เล่นกีฬาที่เคยเล่นประจำทุกวัน เป็นต้น
14. ชอบทำพฤติกรรมเหมือนเด็กๆ เช่น งอแงเมื่อไม่ได้ดั่งใจ หรือดีใจเกินกว่าเหตุถ้าได้ของที่ต้องการ
15. พูดจาและแสดงอาการก้าวร้าว เช่น พูดว่าหรือด่าทอคนอื่น ทั้งที่แต่ก่อนไม่มีพฤติกรรมอย่างนี้มาก่อน
นี่เป็นเพียงวิธีสังเกต อาการเพียงเบื้องต้นที่เราสามารถสำรวจได้ด้วยตัวเองค่ะ แล้วถ้าใครมีอาการข้างต้นเกินกว่า 5 ข้อขึ้นไปก็ต้องพิจารณาตัวเองได้แล้วนะคะว่าอาจจะเข้าข่ายโรคอัลไซเมอร์ และทางที่ดีคือลองไปพบแพทย์เพื่อตรวจอาการเพิ่มเติมจะดีที่สุดค่ะ เพราะโรคนี้ไม่มีทางรักษาและเราสามารถป้องกันหรือชะลอให้มันเกิดช้าลงได้ค่ะ
เรื่องโดย : momypedia