Tuesday, September 30, 2014

เพราะอะไร

1. เพราะคุณยังมีแรงกดดันไม่พอ
ไม่ว่าคุณกำลังรู้สึกสบายใจกับชีวิต มีเงินพอใช้หรือไม่ ถ้าตราบใดที่คุณรู้สึกว่า “ไม่ต้องดิ้นรนหรอก ชีวิตแบบนี้แหละเราว่าก็ใช้ได้แล้ว” นี่คือคำพูดของคนที่กำลังหยุดพัฒนาคุณภาพชีวิตตัวเอง

2. เพราะคุณยังชอบอยู่ใน Comfort Zone
ไม่มีอะไรอันตรายมากไปกว่าการทำอะไรซ้ำๆโดยที่ไม่พยายามหาสิ่งใหม่ให้กับ ชีวิต โลกใบนี้มีคนเยอะมากๆ คนธรรมดาๆที่ไม่กล้าทำอะไรใหม่ ยังไงก็สู้คนธรรมดาที่กำลังเป็นคนใหม่เพราะทำแต่สิ่งใหม่ไม่ได้อยู่แล้ว

3. เพราะคุณคิดเล็ก
มีปราชญ์ฝรั่งบอกว่าการหาเงินล้านยากกว่าการหาเงินพันล้าน ถ้าคุณไม่ปรารถนาจะสร้างเงินล้าน คุณย่อมไม่มีทางทำได้ การยอมรับว่าอยากมีฐานะที่ดีขึ้นจะนำไปสู่เส้นทางที่มันควรจะเป็น

4. เพราะคุณไม่เคยออกกำลังกาย
ผมพิสูจน์ด้วยตัวเองแล้วว่าการออกกำลังกายเป็นประตูขั้นแรกสุดของการเปลี่ยน แปลงชีวิตอย่างยิ่งใหญ่ ถ้าคุณออกกำลังกาย สมองของคุณจะโล่ง โปร่ง เบาสบาย ซึ่งมันเป็นสภาวะที่ก่อให้เกิดไอเดียเปลี่ยนชีวิตที่คุณจะต้องตกตะลึงเลย การันตี

5. เพราะคุณไม่อ่านหนังสือดีๆ
การอ่านหนังสือคือการขโมยประสบการณ์จากคนอื่น มันช่วยทำให้คุณประหยัดเวลาในชีวิตได้มาก หนังสือดีๆช่วยเปิดโลกทัศน์ให้คุณได้ มีคนที่ประสบความสำเร็จระดับโลกมากมายที่ยืนยันว่าเป็นเรื่องจริง มันคุ้มสุดๆที่จะอ่าน

6. เพราะคุณฉลาดเกินไป
ทำไมประเทศจีนมันเก่งจังวะ อ๋อ เพราะคนมันเยอะไง ประเทศมันเลยโต ทำไมประเทศสิงคโปรมันเก่งจังวะ อ๋อ เพราะคนมันน้อยไง ประเทศมันเลยคุมง่าย คนฉลาดเกินไปมักจะมีตรรกะที่เข้าข้างตัวเอง และหาเหตุผลที่จะสนับสนุนเพื่อที่จะหาข้ออ้างไม่ลงมือทำ

7. เพราะคุณศรัทธาระบบการศึกษาไทย
ระบบการศึกษาไทยมักบอกว่าเรียนเก่งเท่ากับชีวิตที่ดี ทั้งๆที่ในโลกความจริงการเรียนไม่ได้เกี่ยวอะไรกับความสำเร็จเลย การศึกษามันเป็นเรื่องที่ต้องทำทั้งชีวิต ใครหยุดก็แพ้

8. เพราะคุณเอาความกลัวมาเป็นประเด็น
ลูกค้าไพ่ Tarot ของผมที่ประสบความสำเร็จในโลกธุรกิจทุกคน ผมถามว่าตอนเริ่มทำธุรกิจ คุณไม่กลัวเหรอ รู้ไหมครับ ว่าเขาตอบว่าอย่างไร เขาตอบผมว่า “กลัว แต่อยากทำ” ทำทั้งๆที่กลัวนั่นเเหละคือความกล้า

9 เพราะคุณไม่รู้ว่าความตายมันใกล้ตัว
ชีวิตทุกคนแสนสั้น พ่อแม่พี่น้องคนที่เรารักรวมไปถึงตัวเรา ลองถามตัวเองว่าถ้าวันนี้เป็นวันสุดท้ายของชีวิตคุณ นี่คือชีวิตที่คุณต้องการหรือเปล่า ถ้าไม่ คุณจะเริ่มทำอะไรเพื่อความสุขของตัวเองและครอบครัว

10. เพราะคุณไม่เห็นความฝันของตัวเอง
ไม่มีอะไรเลวร้ายไปกว่าการไม่ยอมฟังเสียงร่ำร้องของหัวใจตัวเองอีกแล้ว ถ้าคุณเป็นคนที่ไม่มีความฝัน คนรวยจะจ่ายเงินเพื่อให้คุณไปทำตามความฝันของเขาให้เป็นจริง ถ้าอยากเปลี่ยนชีวิตตัวเอง ได้โปรด…!!! หยุดฟังเสียงคนอื่นแล้วหันมาใส่ใจกับเสียงร่ำร้องของความฝันตัวเองเสียที เพื่อตัวคุณเอง เพื่อคนที่คุณรัก

ขอบคุณการแบ่งปันจากคุณปอแล้ว แลขอบคุณคุณวิชญ์แหล่งที่มา 

Wednesday, September 24, 2014

วิธีตรวจสอบง่าย ๆ ว่าคุณกำลังคุยกับคนล้มเหลวหรือคนสำเร็จ

ชอบมากๆเลยคะ ต้องขอเอามาเก็บไว้ในบล๊อกส่วนตัวไว้ให้ตัวเองอ่าน และได้เผยแพร่ให้คนอื่นที่อาจจะไม่ได้ติดตามจากหน้าเฟสของคุณบอย Boy's Thought อ่านทุกเช้าเมื่อเปิดคอมพิวเตอร์ เริ่มต้นการทำงานตอนเช้าด้วยบทความดีๆ ขอบคุณคุณบอยมากๆค่ะ


วิธีตรวจสอบมี 5 ข้อดังนี้คะ

1. เขาคุยเรื่องสิ่งที่ไม่ต้องการ หรือ คุยเรื่องสิ่งที่ต้องการ?
2. เขาคุยเรื่องอดีต หรือ คุยเรื่องอนาคต?
3. เขานินทาคนอื่น หรือ ชื่นชมคนอื่น?
4. เขาบ่นโทษคนอื่น หรือ เขาบอกว่าจะลงมือแก้ไขด้วยตัวเอง?
5. เขาเอาแต่พูดฝ่ายเดียว หรือ อยากฟังคุณพูดบ้าง?
ถ้าเขาเป็นอย่างแรก คือ
เอาแต่คุยเรื่องสิ่งที่เขาไม่ต้องการ พูดแต่เรื่องที่ผ่านไปแล้ว
นินทาคนอื่น โทษคนอื่น และเอาแต่พูดเรื่องของตัวเอง
แปลว่าเรากำลังคุยกับคนล้มเหลว
ให้ค่อย ๆ ทำตัวห่างออกมาเท่าที่ทำได้
ถ้าเขาเป็นอย่างหลัง คือ
คุยแต่สิ่งที่ต้องการ คุยเรื่องอนาคต
ชื่นชมคนอื่น พร้อมลงมือด้วยตนเอง
และยังอยากฟังความคิดเห็นของเรา
แปลว่าเรากำลังคุยกับคนสำเร็จ
อย่าปล่อยให้โอกาสนี้ผ่านไป จงใช้เวลาร่วมกับเขาให้มากที่สุด
วิธีตรวจสอบง่าย ๆ นี้ ยังใช้ตรวจสอบตัวเองได้อีกด้วย
ว่าเราเป็นคนแบบไหน
เปลี่ยนตัวเองให้คิด พูด ทำแบบคนสำเร็จ
แล้วเราจะแวดล้อมไปด้วยคนสำเร็จ
แล้วเราก็จะสำเร็จยิ่งขึ้น

Thursday, September 18, 2014

29 สุดยอดคำคมเพื่อชีวิตที่ดีขึ้น

รู้จักคุณค่าชีวิต แล้วคุณจะพบความสุขที่ยิ่งใหญ่

1.อะไรก็ตามถ้าได้มาแล้วรู้จักรักษา เชื่อว่าสิ่งนั้นๆ จะอยู่กับเราได้นานเสมอ
2.”คนเก็บขยะ” คือคนที่เสียสละเอาตัวเข้าไปแลกกับของเหม็นเน่าเพื่อเอาไปทิ้ง โลกนี้น่าอยู่ก็เพราะพวกเขานะ
3.ถ้ายังไม่ปล่อยมือจากอดีต แล้วจะเอามือไหนไปคว้าอนาคต
4.อย่าใช้เวลาทั้งชีวิตหาเงิน จงใช้เวลาส่วนหนึ่งของชีวิตหาเงิน เพื่อใช้ตลอดชีวิต
5.จงอย่าอิจฉาคนอื่น แต่จงใช้ชีวิตให้คนอื่นอิจฉา
6.บางครั้งสิ่งที่เราเห็นอาจจะไม่เป็นอย่างที่เราคิด ฉะนั้นอย่าตัดสินคนอื่นจากความรู้สึกส่วนตัว
7.ถ้าคุณตกหลุมรักคนสองคนในเวลาเดียวกัน จงเลือกคนที่ 2 เพราะถ้าคุณรักคนแรกจริงๆ คุณจะไม่มีคนที่สองอย่างแน่นอน
8.อย่าตกเป็นทาสของกฏเกณฑ์ นั่นคือการใช้ชีวิตตามความคิดของคนอื่น อย่าปล่อยให้เสียงของคนอื่น ดังกลบเสียงหัวใจของเราเอง
9.คนที่มีความคิดเป็นเถ้าแก่ จบ ป.4 ก็เป็นเถ้าแก่ได้ คนที่จบปริญญาโท แต่คิดจะเป็นลูกจ้าง มันก็คือลูกจ้างทั้งชีวิต
10.สติ..ทำให้เรื่องใหญ่ๆ กลายเป็นเรื่องเล็ก อคติ..ทำให้เรื่องเล็กๆ กลายเป็นเรื่องใหญ่
11.ความสุขแม้จะอยู่กับเราได้ไม่นาน แต่ความทรงจำที่ดี จะอยู่กับเราตลอดไป
12.ไม่จำเป็นต้องทำตัวให้ใครชมว่าดี แค่รู้ว่าจิตสำนึกที่เรามีมันดีก็พอแล้ว
13.หากพอมีกำลังอย่าไปหวังพึ่งใคร ต่อหน้านั้นคือน้ำใจ ลับหลังไปคือหนี้บุญคุณ
14.ร้องไห้เอาชนะใจคนได้บางคน แต่ยิ้มแย้มเอาชนะใจคนได้เกือบทั้งโลก
15.คุณอาจจะต้องทำความรู้จักกับคนนับร้อย กว่าจะได้พบเพื่อนแท้เพียงไม่กี่คน
16.อยู่ต่ำให้มองสูง อยู่สูงให้มองต่ำ
17.หนามแหลมคมไม่ต้องเสี้ยม คนแหลมคมไม่ต้องสอน
18.ไม่พูดไม่ได้แปลว่าไม่รู้ เงียบไม่ได้แปลว่าโง่ แต่ฉลาดพอที่จะนิ่ง
19.ถ้าเราวิ่งหนีปัญหาไม่พ้น ก็ลองวิ่งชนมันดูสักครั้ง
20.คนเราไม่วางแผนที่ยาวไกล ความทุกข์จะเกิดขึ้นในไม่ช้า
21.อย่ากลัวการเริ่มต้นใหม่ และอย่าแคร์สายตาใคร ตราบใดที่เรายังหายใจด้วยจมูกของเราเอง
22.คนอื่นไม่ให้โอกาสเรา ยังไม่น่าเศร้า เท่ากับเราไม่ให้โอกาสตัวเอง
23.กระจก..ไม่เคยดูถูกใคร มีแต่คนที่ไม่มั่นใจ ที่ดูถูกตัวเอง
24.คนฉลาดไม่ใช่ผู้ที่ชนะการโต้แย้ง แต่คนฉลาด คือผู้ที่ออกห่างจากการโต้แย้งตั้งแต่เริ่มต้น
25.คนที่ใช้ชีวิตคุ้มค่า คือคนที่ได้ทำในสิ่งที่อยากทำ ไม่ใช่เพราะได้ทำ ในสิ่งที่คนอื่นอยากให้ทำ
26.อย่าเป็นคนเก่งที่แล้งน้ำใจ แต่จงเป็นคนธรรมดาทั่วไป ที่มีน้ำใจและไม่เห็นแก่ตัว
27.มองปัญหาให้เหมือนกับเม็ดทราย ถึงจะเยอะมากมาย แต่เม็ดทรายก็เล็กนิดเดียว
28.ไม่มีใครดีเลิศหรือเพอร์เฟคหรอก เพราะขนาดดินสอยังต้องมียางลบ
29.ใครจะดูถูกเราก็ปล่อยให้เค้าดูถูกไป แต่จงท่องให้ขึ้นใจ ว่าเราจะไม่ดูถูกตัวเอง

ขอขอบคุณทุกคำคมค่ะที่ทำให้คิดได้ขึ้นเยอะ

เป้าหมายสำคัญเช่นไร

วันนี้ระหว่างไดร์ผมได้อ่านหนังสือเล่มหนึ่งมีคนเขียนเรื่อง "เป้าหมายในชีวิต" เล่าเรื่องโดยผู้ชายคนหนึ่งที่ก่อนหน้านี้อยู่ไปวันๆทำงานไปเรื่อยๆ เค้ามีภรรยาแต่ไม่มีลูกเค้าเลยคิดว่าเพราะไม่มีลูกหรืเปล่าทำให้ไม่ได้คิดว่าจะทำสิ่งใดเป็นชิ้นเป็นอันเพื่อใครหรือเพื่ออะไร ก่อนหน้านี้ทำงานบริษัท เป็นลูกจ้าง จนออกมาทำของตัวเอง แต่จะถามว่ามีเงินเก็บมั้ย เค้าไม่มีเงินเก็บเลยสักบาทเดียวในบัญชี ตอนที่ไปกู้เงินจะทำธุรกิจเองธนาคารก้อไม่ใ้หเพราะไม่มีแม้แต่เงินฝากในบัญชี แต่ด้วยเค้าเป็นคนชอบอ่านหนังสือวันนึงอ่านหนังสือเล่มนึงพบกับคำว่าเป้าหมายใน เริ่มมองเห็นอะไรมากขึ้น และด้วยวัย 40 ปีของเค้า เริ่มคิดว่าเงินก้อสำคัญหรือสิ่งนี้จะเป็นเป้าหมายในชีวิตของเค้า เค้าเลยเสริ์ชในอินเตอร์เน็ทหาว่าทำยังงัยจะมีเงินเข้ามาได้อย่างรวดเร็ว แน่นอนที่สุดไม่มี เค้าเลยนั่งคุยกับตัวเองว่าแล้วเค้าจะทำอะไร โชคดีที่รู้ว่าตัวเองเป็นคนชอบอ่านและชอบเขียน เลยตัดสินใจลองเขียนหนังสือ ถึงแม้ในตอนแรกจะไม่ดีนักและเงินตอบแทนจะไม่มากมาย แต่อย่างน้อยทำให้เค้ารู้ว่าเค้าชอบอะไรอยากทำอะไร และเป้าหมายในชีวิตของเค้าคืออะไร

อ่านจบทำให้คิดว่า การมีเป้าหมาย ในชีวิตเป็นสิ่งสำคัญ จะทำอะไรสักอย่างต้องตั้งเป้าหมายว่าจะทำอะไร เพื่ออะไร ไม่อย่างนั้นเราก้อใช้ชีวิตไปวันๆโดยไม่รู้ว่าจะทำงานไปเพื่ออะไร


Monday, September 15, 2014

ฝนตกพรำๆกับภาพฝนตกสวยๆ

ช่วงนี้ฝนตกทุกวันเลยพื้นดินชุ่มฉ่ำไปด้วยน้ำฝน ต้นไม้มีความสุขได้ดื่มด่ำกับน้ำฝน แต่ต้นไม้บางชนิดก้อเริ่มแสดงอาการว่าน้ำมากเกินไปใบเริ่มเหลืองแล้ว อิอิ มีทั้งดีใจและเริ่มบ่น เหมือนคนเลยจริงๆ บางคนชอบบางคนไม่ชอบ ก้อแล้วแต่ใครชอบแบบไหนนะคะ แต่สำหรับตัวเราชอบและมีความสุขในทุกๆอากาศคะ วันนี้เลยเสิร์ชหารูปฝนตกมาเก็บเอาใว้ในบล๊อกดูเล่นๆดีกว่า







Sunday, September 14, 2014

ผู้ชายถูกกระตุ้นด้วยเป้าหมาย ผู้หญิงถูกกระตุ้นด้วยความห่วงใยใส่ใจ

เขาจะมีความสุขทุกครั้งที่บรรลุเป้าหมาย
ผู้หญิงถูกกระตุ้นด้วยความห่วงใยใส่ใจ
เธอจะมีความสุขทุกครั้งที่ได้ทำหน้าที่ห่วงใยใส่ใจ
หรือในทางกลับกันมีคนห่วงใยใส่ใจเธอ

ถ้าคุณเข้าใจเรื่องนี้ คุณจะเข้าใจชายหญิง
และจัดการความสัมพันธ์ได้ดีขึ้น
สมมติว่าผมยกตัวอย่างเรื่องงาน เช่น
ถ้าคุณมีลูกน้องผู้ชาย
กระตุ้นเขาได้ง่ายๆ ด้วยการหาเป้าหมายที่เร้าใจ
เขาจะวิ่งเป็นวัวกระทิง เพื่อบรรลุเป้าหมายนั้นให้ได้
ถ้าคุณมีลูกน้องผู้หญิง
เป้าหมายที่เร้าใจอาจไม่กระตุ้นเธอ
แต่อาจเป็นการมอบหน้าที่การดูแลใส่ใจคนในองค์กร

พูดง่าย ๆ ผู้ชายเป็นเพศที่สนใจแต่เป้าหมาย ไม่ค่อยมองข้างทาง
ส่วนผู้หญิงก็ไม่ค่อยสนใจเป้าหมายนัก เธอชอบความสุขระหว่างทาง

นิสัยแบบนี้เราเป็นกันมาตั้งแต่สมัยมนุษย์ถ้ำ และยังเป็นอยู่
ไม่มีใครผิดหรือถูก ไม่มีใครดีกว่าใคร
แต่เราแค่ต่างกันเท่านั้นเอง

และเอาเข้าจริง นิสัยนี้ครอบคลุมทั้งหมดของชีวิต
ไม่ว่าจะเป็นการทำงาน ทัศนคติ ความสัมพันธ์ หรือเซ็กซ์
ใครเข้าใจและเอาไปปรับใช้
จะทำให้เข้าใจเพื่อนร่วมโลกของเราได้มากขึ้นครับ

ปล. แน่นอนครับว่าผมไม่ได้หมายถึงหญิงชายทุกคนต้องเป็นแบบนี้
แต่หมายถึงคนส่วนใหญ่ของเพศนั้นๆ

ขอบคุณคุณ Boy's Thought อีกครั้งสำหรับข้อความสอนใจดีๆอันนี้คะ

Friday, September 12, 2014

เคล็ดลับของการใช้เวลาใน 1 วันให้เต็มประสิทธิภาพ

ตอนเช้าสมองเรากำลังโปร่งโล่งพร้อมรับสิ่งดีๆ เพราะฉะนั้นเช้าๆเมื่อเปิดคอมพิวเตอร์ที่ทำงานก้อจะเปิดอ่านแต่สาระดีๆเพื่อต้อนรับการทำงานด้วยสิ่งดีๆ และเช้านี้กับเฟสบุ้คของคุณ บอย วิสูตร ชอบมากๆกับ "เคล็ดลับของการใช้เวลา" เป็นการบริหารเวลาในแบบของคุณบอย วิสูตร ซึ่งแต่ละคนสามารถไปปรับใช้ในเวลาของแต่ละท่าน ลองอ่านกันดู คัดลอกทั้งหมดมาจากหน้าเพจคุณบอยหมดเลยไม่มีการปรับแต่งข้อความเลยคะ

เคล็ดลับของการใช้เวลาก็คือ
แค่เราทำงานต่อเนื่องอย่างตั้งใจได้ "ครั้งละ 2 ชั่วโมง" ก็ถือว่าได้ใช้เวลาอย่างเต็มประสิทธิภาพแล้ว

ผมรู้ความจริงข้อนี้ดี
เพราะฉะนั้นผมจะเริ่มวันใหม่ด้วยการอ่านหนังสือดีๆ
ประมาณหนึ่งชั่วโมง
จากนั้นทานข้าวเช้าแบบไม่หนักมาก
แล้วเริ่มทำงานตอนเช้าอย่างต่อเนื่อง 2 ชั่วโมง
จากนั้นจึงออกกำลังกายหนึ่งชั่วโมง
พักผ่อน อาบน้ำให้สดชื่น เพื่อออกไปทานข้าวกลางวัน
ถ้างานไม่ยุ่ง ก็ไปเดินเที่ยวเล่นหรือดูหนังกับภรรยา
ถ้างานยุ่งหน่อย บ่ายนั้นผมก็จะทำงานรวดอีก 2 ชั่วโมง
จากนั้นช่วงเย็นจึงเป็นเวลาครอบครัว
ไปรับลูก กินข้าวเย็น เดินเล่นดูท้องฟ้า
อาบน้ำอาบน้ำท่า เล่านิทานก่อนนอนให้ลูกฟัง
จากนั้นจึงเป็นเวลาของการอยู่คนเดียว
เพราะลูกและภรรยาหลับหมด
ผมมีเวลาอีก 2 ชั่วโมงในการทำงานเต็มๆ อย่างต่อเนื่อง
หรือจะนั่งค้น นั่งดู นั่งฟังอะไรเพิ่มเติมในอินเทอร์เน็ตก็ได้
หรือไม่ก็นั่งคุยกับตัวเอง เพราะถือเป็นช่วงเวลาของการอยู่คนเดียว
ก่อนที่จะปิดท้ายวันด้วยการอ่านหนังสือดีๆ ก่อนเข้านอน
อีกหนึ่งชั่วโมง
สรุปผมสามารถมีเวลาทำงานแบบ "เต็มประสิทธิภาพ" ถึง 6 ชั่วโมง!
โดยแบ่งเป็น slot ละ 2 ชั่วโมง 3 slot
นั่นจึงคือคำตอบว่าทำไมผมถึงผลิตงานออกมาได้มากมาย
ทั้งเป็นบรรณาธิการให้หนังสือนับสิบเล่ม
เขียนหนังสือของตัวเองปีละอย่างต่ำ 2 เล่ม
แต่งเพลง จัดสัมมนา เป็นวิทยากร
แถมยังมีเวลาออกกำลังกาย มีเวลาให้ครอบครัว
และมีเวลาอยู่คนเดียวอีกด้วย
ประเด็นที่ผมจะสื่อก็คือ
1.คุณต้องตั้งใจทำงานต่อเนื่อง เวลาเครื่องจุดติด คุณต้องไปต่อ
2.คุณต้องจัดสรรเวลาให้ครบทุกด้านของชีวิตเท่าที่ทำได้
3.คุณต้องเริ่มต้นและปิดท้ายวันด้วยหนังสือดี
ไม่ใช่ข่าวขยะหรือนิยายตบตี
ลองเอาไปปรับใช้กับเวลาของคุณดูนะครับ
ผมไม่ได้บอกให้ทำเหมือนผมเป๊ะ
เพราะบางคนทำงานประจำ บางคนต้องเฝ้าร้าน
ขอแค่จัดสรรเวลาให้ดี และใช้มันให้เต็มคุณค่า
เวลาคือทรัพย์สมบัติที่มีค่าที่สุด
ตั้งใจดูแลมันหน่อยนะครับ

ขอบคุณเพจคุณบอย Boy's Thought

Monday, September 8, 2014

วิธีการดุลูก และวิธีการปลอบลูก

ไม่แปลกที่จะดุลูกแต่เราจะมีเทคนิคในการดุลูกแบบไหนที่จะไม่ทำให้ลูกเสียใจแล้วเราเองก็ไม่เสียใจที่ดุลูกไป มีเทคนิคต่างๆที่สามารถลองไปทำกันดูได้ดังนี้

1.ควรตำหนิในสิ่งที่เขาทำ ไม่ใช่ตำหนิตัวเขา การบอกลูกว่า “แม่ไม่ชอบที่หนูแกล้งน้อง” กับการบอกลูกว่า “ทำไมเป็นเด็กเกเรแบบนี้” ให้ความรู้สึกที่ต่างกันมาก โดยในคำพูดแบบแรกนั้นให้ความรู้สึกว่า แม่ไม่ได้รู้สึกแย่กับลูก แม่แค่ไม่ชอบในสิ่งที่ลูกทำ ในขณะที่ประโยคหลังนั้นในทางจิตวิทยา เรียกว่า ‘การตีตรา’ หมายความว่าคุณแม่นั้นได้สรุปไปเรียบร้อยแล้วว่าลูกเป็นเด็กเกเร ซึ่งการพูดแบบหลังจะทำให้เด็กเกิดความท้อแท้และไม่อยากที่จะปรับปรุงตัวเอง

2.ควรบอกในสิ่งที่อยากให้เขาทำแทนสิ่งเดิมเสมอ เช่น หากเราบอกลูกว่า “อย่าตีน้อง” เด็กๆ หลายคนจะมีปัญหาว่าเมื่อเขาไม่พอใจน้อง เขามักไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรแทนที่การตีน้อง และสุดท้ายเขาก็จะกลับมาตีน้องในที่สุด ดังนั้นคุณแม่ควรบอกเขาว่า “อย่าตีน้อง ต่อไปนี้ถ้าน้องทำอะไรให้หนูไม่พอใจให้มาบอกแม่” เป็นต้น

3.ห้ามดุลูกขณะที่อารมณ์ไม่ดี ข้อนี้เป็นข้อที่สำคัญมาก เนื่องจากเด็กๆ จะรู้สึกแย่กับความหงุดหงิดและความโกรธมากกว่าคำพูดของเราเสียอีก ดังนั้นหากคุณพ่อคุณแม่รู้สึกว่าตัวเองกำลังหงุดหงิดก็ควรบอกกับลูกว่า “ตอนนี้แม่หงุดหงิดมาก เดี๋ยวแม่จะไปทำอย่างอื่นก่อน หายโกรธแล้วแม่จะมาคุยเรื่องนี้กับหนูอีกที” นอกจากลูกจะไม่ต้องรับอารมณ์ของเราแล้ว เขาจะได้เรียนรู้ถึงวิธีการจัดการความโกรธที่ดีจากเราอีกด้วย


สำหรับการปลอบลูกนั้นมีหลักการง่ายๆ ว่า คุณแม่เพียงแสดงความห่วงใยในความรู้สึกของเขาก็พอ เช่น “หนูเสียใจเหรอลูก” หรือ “หนูไม่ชอบที่คุณพ่อดุหนูใช่ไหม” เป็นต้น

สิ่งที่สำคัญอีกประการหนึ่งคือ หากคุณแม่เห็นว่าคุณพ่อดุหรือทำโทษลูกรุนแรงเกินไป ก็ไม่ควรจะพูดแย้งต่อหน้าลูก แต่ควรจะไปคุยกันทีหลังเพราะอาจทำให้ลูกไม่เคารพและไม่เชื่อฟังคุณพ่อในคราวต่อๆ ไป และคุณพ่อจะได้ไม่รู้สึกเสียหน้าด้วย

ขอบคุณเทคนิคดีๆจาก momymedia โดย นพ.อัศวิน นาคพงศ์พันธุ์