สีมีิอิทธิพลต่อความรู้สึกของคนเราแตกต่างกันไป มีการศึกษาและสรุปการใช้สีที่มีผลต่อความรู้สึกต่อคนส่วนใหญ่ดังนี้
สีฟ้า
ให้ความรู้สึกสงบ สุขุม สุภาพ หนักแน่น เคร่งขรึม เอาการเอางาน ละเอียด รอบคอบ สง่างาม มีศักดิ์ศรี สูงศักดิ์ เป็นระเบียบถ่อมตน
สามารถลดความตื่นเต้น และช่วยทำให้มีสมาธิ แต่ถ้ามีสีน้ำเงินเข้มเกินไป ก็จะทำให้รู้สึกซึมเศร้าได้
สีเขียว
เป็นสีในวรรณะเย็น จะสร้างความรู้สึกเย็นสบาย ใช้เป็นสีที่ช่วยผ่อนคลายความเครียดได้ ให้ความรู้สึก สงบ เงียบ ร่มรื่น ร่มเย็น การพักผ่อน การผ่อนคลาย ธรรมชาติ ความปลอดภัย ปกติ ความสุข ความสุขุม เยือกเย็น
สีเหลือง
เป็นสีแห่งความเบิกบาน เร้าอารมณ์ และเรียกร้องความสนใจ ให้ความรู้สึกแจ่มใส ความสดใส ความร่าเริง ความเบิกบานสดชื่น ชีวิตใหม่ ความสด ใหม่ ความสุกสว่าง การแผ่กระจาย อำนาจบารมี
ให้ลองสังเกตดูว่า วันที่ท้องฟ้ามืดครื้มปราศจากแสงแดด เราจะรู้สึกหงอยเหงา หดหู่ แต่พอมีแสงแดด ท้องฟ้าสว่าง มีสีเหลือง เราจะรู้สึกมีชีวิตชีวาขึ้น
สีแดง
เป็นสีที่สร้างความตื่นเต้น และกระตุ้นสมอง สีแดงปานกลางแสดงถึงความมีสุขภาพดี ความมีชีวิต ความรัก ความสำคัญ ความอุดมสมบูรณ์ ความมั่งคั่ง
สีแดงจัดมีความหมายแฝงด้านกามารมณ์ นอกจากนี้สีแดงยังสร้างความรู้สึกรุนแรง ให้ความรู้สึกร้อน กระตุ้น ท้าทาย เคลื่อนไหว ตื่นเต้น เร้าใจ มีพลัง มันจะใช้กันกรณีที่เกี่ยวกับความตื่นเต้น หรืออันตราย
สีม่วง
ให้ความรู้สึก มีเสน่ห์ น่าติดตาม เร้นลับ ซ่อนเร้น มีอำนาจ มีพลังแฝงอยู่ ความรัก ความเศร้า ความผิดหวัง ความสงบ ความสูงศักดิ์
เป็นสีที่ปลอบโยน และช่วยลดความเครียด แต่เดิมสีม่วงได้มาจากสัตว์มีกระดอง,เปลือก ในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน มีชื่อว่า Purpura จึงได้ชื่อภาษาอังกฤษว่า Purple
สีส้ม
ให้ความรู้สึก ร้อน ความอบอุ่น ความสดใส มีชีวิตชีวา วัยรุ่น ความคึกคะนอง การปลดปล่อย ความเปรี้ยว การระวัง
เป็นสีที่เร้าความรู้สึก ปรกติควรใช้แต่น้อยเมื่อเทียบกับสีอื่น สังเกตว่าคนที่อยู่ในห้องสีส้มจะอยู่ได้ไม่นาน
สีน้ำตาล
ให้ความรู้สึกอบอุ่น ได้พักผ่อน แต่ควรใช้ร่วมกับสีส้ม เหลือง หรือสีทอง เพราะถ้าใช้สีน้ำตาลเพียงสีเดียว อาจทำให้เกิดความรู้สึกหดหู่ได้
สีเทา
ให้ความรู้สึก เศร้า อาลัย ท้อแท้ ความลึกลับ ความหดหู่ ความชรา ความสงบ ความเงียบ สุภาพ สุขุม ถ่อมตน
สีนี้มีข้อดีคือทำให้เย็น แต่สร้างความสร้างความรู้สึกหม่นหมองได้ ควรใช้ร่วมกับสีที่มีชีวิต โทนสว่างอย่างน้อยหนึ่งสี
สีขาว
ให้ความรู้สึก บริสุทธิ์ สะอาด สดใส เบาบาง อ่อนโยน เปิดเผย การเกิด ความรัก ความหวัง ความจริง ความเมตตา ความศรัทธา ความดีงาม
ให้ความรู้สึกรื่นเริง โดยเฉพาะเมื่อใช้กับสีแดง เหลือง และส้ม
Friday, July 27, 2012
Thursday, July 26, 2012
กินอย่างมีคุณค่า
มีผักผลไม้หลายชนิดที่เรารับประทานอยู่เป็นประจำ หลายอย่างสามารถเป็นยาได้นะคะ ลองอ่านดูคะ
หน่อไม้ฝรั่ง (แอสพารากัส) ผักที่มีหน้าตาแปลกเฉพาะตัว ลักษณะเป็นหน่อสีเขียวหรือสีขาว สีขาวนิยมรับประทานสดๆ ส่วนสีเขียวนิยมนำไปประกอบอาหาร สามารถเก็บกินได้ตลอดทั้งปี หาซื้อได้ง่าย กรอบอร่อย นำไปทำทำอาหารได้หลากหลาย
กินเป็นยา : ในหน่อไม้ฝรั่งมีโฟเลตอยู่มาก มีความจำเป็นต่อความสมบูรณ์ของทารกสำหรับคุณแม่ครรภ์ อีกทั้งยังช่วยลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็งที่ปอดได้อีกด้วย นอกจากนี้ยังมีส่วนประกอบของกำมะถันเป็นยาขับปัสสาวะได้ดีตัวหนึ่งเหมาะอย่างยิ่งกับผู้ป่วยที่เป็นโรคขัดเบา และยังใช้รักษาโรคหลายชนิด เช่น โรคเส้นประสาทอักเสบ โรครูมาติซึม และบรรเทาอาการปวดฟันได้ด้วย
อะโวคาโด ผลไม้จากถิ่นอเมริกา เม็กซิโก กัวเตมาลา และหมู่เกาะเวสอินดีส ที่หาได้ง่ายในบ้านเราแต่ไม่ค่อยนิยมกินกันมากนัก เนื่องจากมีรสชาติและกลิ่นสู้ผลไม้ชนิดอื่นๆ ไม่ได้ แต่ประโยชน์ของอะโวคาโดนั้น เรียกว่ามากมายจนต้องหันกลับมารักกันเลยทีเดียว
กินเป็นยา : มีวิตามินบีที่ช่วยป้องกันโรคเหน็บชา ปากนกกระจอก วิตามินซีช่วยป้องกันไข้หวัด โรคเลือดออกตามไรฟัน และโดยเฉพาะวิตามินอีซึ่งเป็นสารแอนตี้ออกซิแดนท์ ที่ช่วยในการปกป้องเซลล์ร่างกายจากมลพิษทาง อากาศ น้ำ และอาหาร สามารถป้องกันโรคมะเร็งชนิดต่าง ๆ และโรคหัวใจ และนอกจากนี้ยังช่วยให้ผิวพรรณดูเปล่งปลั่งอีกด้วย
บร็อกโคลี่ รสชาติหวาน กรอบ สามารถนำมาประกอบอาหารได้หลายชนิด และอุดมไปด้วยสารอาหารที่มีประโยชน์มากมาย
กินเป็นยา : บร็อกโคลี่มีสารเบต้า-แคโรทีน ที่ช่วยกำจัดอนุมูลอิสระในร่างกายและยังช่วยให้ผนังเส้นเลือดแข็งแรง มีสารซัลโฟราเฟน (sulforaphane) ซึ่งเป็นสารป้องกันโรคมะเร็ง และยังช่วยป้องกันโรคหัวใจ ความดันโลหิต และโรคอัลไซเมอร์ได้ดี
กะหล่ำปลี ผักรูปร่างกลมที่เกิดจากใบที่อัดแน่นจนมีลักษณะเป็นหัวน่ากิน สามารถนำมาประกอบอาหารได้หลากหลาย หรือจะกินดิบๆ ก็ได้ ไม่ว่าจะสีเขียว สีขาว หรือสีม่วง ก็มีประโยชน์มากมายทั้งสิ้น
กินเป็นยา : มีสารพิเศษเอสเมธิลเมโธโอนินที่สามารถรักษาโรคกะเพาะอาหาร และมีสารกอยโตรเจนที่ช่วยให้ร่างกายทำไอโอดีนไปใช้ช่วยป้องกันโรคคอหอยพอก นอกจากนั้นยังมีสารต้านมะเร็งโดยเฉพาะมะเร็งลำไส้
เกรปฟรุต เติบโตอยู่ในผลไม้กระกูลส้ม เป็นญาติสนิทของส้มโอ แต่เนื้อของเกรปฟรุตมีสีแดง รสชาติอมเปรี้ยวนิดๆ เหมาะสำหรับกินลังมื้อเช้าจะช่วยเพิ่มความสดชื่นก่อนไปทำงานได้ดี
กินเป็นยา : สารเพกตินที่มีอยู่ในเกรปฟรุต ซึ่งเป็นไฟเบอร์ประเภทหนึ่งสามารถช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเส้นเลือดก่อนที่จะจับตัวเป็นก้อนไปขวางทางเดินในหลอดเลือด นอกจากนี้ยังมีสารต้านอนุมูลอิสระที่สามารถช่วยป้องกันไม่ให้สารพิษหรือโลหะหนักทำอันตรายต่อร่างกาย และยังช่วยต่อต้านการเกิดมะเร็งกระเพราะอาหารและมะเร็งตับอ่อน
กีวี เป็นผลไม้ประเภทไม้เลื้อยเถา นิยมปลูกมากในประเทศนิวซีแลนด์ แต่ในความเป็นจริงแล้วมีถิ่นกำเนิดมาจาก ทางภาคตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศจีน ในประเทศไทยมีการปลูกมากในจังหวัดเชียงใหม่ ผลมีผิวสีน้ำตาล มีขน เนื้อสีเขียว รสชาติหวาน มีกลิ่นหอม แถมยังมีวิตามินซีสูงอีกด้วย
กินเป็นยา : กีวีมีค่าดัชนี ไขมัน และแคลอรีในระดับต่ำ จึงเหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาโรคเบาหวานเป็นอย่างยิ่ง ตลอดจนผู้ที่ต้องการคุมน้ำหนักหรือมีปัญหาเรื่องน้ำหนักตัว วิตมินซีในกีวียังช่วยให้ร่างกายมีประสิทธิภาพในการต้านอนุมูลอิสระ และยังช่วยในเรื่องของระบบย่อยอาหาร ความอึดอัดในช่องท้อง ท้องผูก และเกิดความล่าช้าในการส่งถ่าย
ส้ม ผลไม้ที่เรารู้จักและคุ้นเคยกันดี มีให้เลือกมากมายหลายสายพันธุ์ รสชาติหวานอร่อย กินง่าย ทั้งยังขึ้นชื่อในเรื่องของวิตามินซี นอกจากนี้ยังมีแคลเซียม วิตามินเอ บี โพแทสเซียม แคลเซียม ใยอาหาร ฟอสฟอรัส เหล็ก และเบต้าแคโรทีน
กินเป็นยา : ในส้มมีสารฟลาโวนอยด์ ช่วยป้องกันการอักเสบ และเลือดจับตัวเป็นก้อน มีคอลลาเจน ช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของร่างกายให้แผลหายเร็วขึ้น วิตามินซีและเบต้าแคโรทีน ช่วยรักษาโรค เลือดออกตามไรฟัน และมีคุณสมบัติช่วยล้างพิษในร่างกาย ลดความเครียด ช่วยป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ
พีช คือชื่อเรียกตามภาษอังกฤษ แต่บางคนอาจจะรู้จักมักจี่กันในชื่อจีนคือลูกท้อ มีสีเหลืองอมส้ม รสชาติหอมหวาน
กินเป็นยา : ในพีชมีวิตามินเอและสารต้านอนุมูลอิสระอย่างเบต้าคริบโตแซนทิน ป้องกันไม่ให้เซลล์ถูกทำลาย บำรุงหัวใจและกระเพาะอาหาร ยังมีเกลือแร่โรบอนที่เป็นตัวช่วยให้สมองของเรากระฉับกระเฉงและกระปรี้กระเปร่า มีพลังค่ะ
มะเขือเทศ ผักสีแดงสด ที่มีประโยชน์มากกว่านำมามาส์กผิวหน้า สามารถนำมาใช้ปรุงอาหารได้หลายรูปแบบหรือแต่งเติมให้มื้ออาหารมีสีสันมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังนำมาคั้นเป็นน้ำมะเขือเทศดื่ม หรือทำเป็นซอสมาปรุงรส อาหารก็ได้
กินเป็นยา : ไลโคปีนเป็นสารสำคัญที่พบได้ในผลมะเขือเทศ เป็นสารประกอบในกลุ่มแคโรทีนอยด์ชนิดหนึ่ง ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งที่อวัยวะต่างๆ โดยเฉพาะมะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งปอด มะเร็งกระเพาะอาหาร มะเร็งตับอ่อน มะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งทวารหนัก มะเร็งคอหอย มะเร็งช่องปาก มะเร็งเต้านม เป็นต้น
แอปเปิ้ล ผลไม้ที่มีรสชาติหอมหวาน มีให้เลือกกินถึง 4 สี คือสีแดง สีเขียว สีเหลือง และสีชมพู สามารถกินได้ทั้งเปลือก ซึ่งประโยชน์ของแอปเปิ้ลนั้นไม่ได้มีแต่ในเนื้อเพียงอย่างเดียว แต่ในเปลือกก็มีประโยชน์มากมายเช่นกัน
กินเป็นยา : ในเปลือกแอปเปิ้ลมีสารฟลาโนอยด์สูงมาก ซึ่งมีหน้าที่ในการล้างพิษออกจากร่างกาย และยังช่วยป้องกันอนูมูลอิสระอีกด้วย ที่เป็นสาเหตุของโรคมะเร็งลำไส้
องุ่น เป็นผลของไม้เลื้อยชนิดหนึ่ง ผลมีรสหวานกินง่าย ในบ้านเรานิยมปลูกอยู่ 2 สายพันธุ์ ก็คือ พันธุ์ไวท์มะละกา ผลกลมมีสีเหลืองอมเขียวและผลยาว รสหวานแหลม และ พันธุ์คาร์ดินัล ผลกลมค่อนข้างใหญ่ มีสีแดงหรือม่วงชมพู รสหวาน กรอบ เปลือกบาง
กินเป็นยา : องุ่นมีสารอาหารที่สำคัญที่ดีคือน้ำตาลและสารอาหารจำพวกกรดอินทรีย์ เช่น น้ำตาลกลูโคส น้ำตาลซูโคส วิตามินซี เหล็กและแคลเซียม มีส่วนช่วยในการบำรุงสมอง บำรุงหัวใจ แก้กระหาย ขับปัสสาวะ และช่วยฟื้นกำลังคนที่ร่างกายผอมแห้ง แก่ก่อนวัยและไม่มีเรี่ยวแรง
หัวหอมใหญ่ พืชสวนครัวที่แค่ได้ยินชื่อน้ำตาก็ไหลแล้ว เพราะสารประกอบของซัลเฟอร์หรือกำมะถัน ที่จะกระจายออกมาในอากาศเมื่อเราหั่นหัวหอม ทำให้ระคายเคืองตาจนร่างกายต้องผลิตน้ำตาเพื่อชะล้างออก แต่ถึงกระนั้นหัวหอมใหญ่ก็เป็นที่นิยมนำมากระกอบอาหารได้หลากหลายเมนู
กินเป็นยา : หัวหอมใหญ่ช่วย ลดคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดีในเลือด และช่วยเพิ่มคอเลสเตอรอลชนิดดี (HDL) ที่ช่วยลดการอุดตันไขมันในเส้นเลือด และทำหน้าที่ป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจอุดตัน นอกจากนี้สารกำมะถันในหอมใหญ่ช่วยยับยั้งการก่อตัวของเซลล์มะเร็ง และยังมีฤทธิ์ป้องกันโรคภูมิแพ้และหอบหืดอีกด้วย
ถั่วเหลือง เมล็ดพืชที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง เป็นแหล่งสะสมของไขมันและโปรตีนที่ดี มีประโยชน์ต่อร่างกาย ถั่วเหลืองมีมากมายหลายขนาดหลากหลายสีทั้งสีน้ำตาล สีฟ้า รวมถึงสีดำก็มี สามารถนำไปแปรรูปได้หลากหลาย หมัก เช่น น้ำนมถั่วเหลือง เต้าหู้ ถั่วงอก ซอสถั่วเหลือง เต้าเจี้ยว เป็นต้น
กินเป็นยา : ถูกกล่าวขานว่าเป็น "ราชาแห่งถั่ว" เพราะมีโปรตีน เลซิทิน และกรดแอมิโน รวมทั้งมีแคลเซียม ฟอสฟอรัส ธาตุเหล็ก ไนอะซิน วิตามินบี1 และบี2 วิตามินเอและอี ซึ่งสามารถกระตุ้นการเจริญเติบโตของกระดูก ป้องกันการขาดแคลเซียมในกระดูก และบำรุงระบบประสาทในสมอง หากกินเป็นประจำช่วยป้องกันหลอดเลือดแข็งตัว โรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ และโรคเบาหวาน
แอปริคอท ผลมีสีส้มสวยสด ทำให้แอปริคอทได้ครองตำแหน่งนางงามในบรรดาผลไม้ ยิ่งสุกงอมเมื่อไหร่จะมีรสชาติหวานอร่อยกำลังดี แต่ถ้าผ่านกระบวนการความร้อนจนสุกได้ที่รสชาติก็จะเปลี่ยนจากหวานเป็นเปรี้ยวทันที ผู้ที่นินมนำแอปริคอทไปทำอาหารหรือทำเบเกอรี่จะรู้ดีว่าจะต้องใส่น้ำตาลให้มากกว่าเดิมเพื่อดับความเปรี้ยว ดังนั้นจึงควรระวังในเรื่องของความหวานด้วย
กินเป็นยา : แอปริคอตเป็นยาบำรุง ที่ช่วยให้ฟื้นตัวจากอาการเจ็บป่วยได้เร็ว สารเบต้าแคโรทีนในแอปริคอตจะช่วยชะลอการเสื่อมถอยของเลนส์ตาจึงช่วยในการมองเห็นได้ดีขึ้น และสามารถป้องกันมะเร็งบางชนิดได้ โพแทสเซียม ธาตุเหล็ก และวิตามินเอช่วยให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งสดใส ทั้งยังช่วยในการย่อยอาหาร ต้านโรคหวัด ภาวะโลหิตจาง หากรับประทานแอปริคอตได้ในปริมาณ 25 มิลลิกรัมต่อวัน จะช่วยรักษาปฏิกิริยาจากสารก่อภูมิแพ้รวมทั้งอาการอ่อนเพลียได้
มะละกอ มีถิ่นกำเนิดมาจากแถบอเมริกากลางและอเมริกาใต้ สามารถกินได้ทั้งสุกและดิบ มีคุณค่าทางโภชนาการสูง สามารถนำไปประกอบอาหารได้หลายชนิด
กินเป็นยา : ผลมะละกอดิบมีวิตามินเอ และสารเบต้าเคโรทีน ช่วยบำรุงสายตาและช่วยต้านโรคมะเร็ง และมีวิตามินซี แคลเซียม ฟอสฟอรัส และเหล็ก วิตามินซี ช่วยป้องกันและรักษาโรคหวัด โรคมะเร็ง โรคลักปิดลักเปิด เลือดออกตามไรฟันและใต้ผิวหนัง นอกจากนี้ยังมีเอนไซม์พาเพน ซึ่งสามารถนำมาเป็นยาช่วยย่อยสำหรับผู้ที่มีปัญหาอาหารไม่ย่อย นอกจากนี้ยังช่วยกระตุ้นน้ำนมสำหรับคุณแม่ที่เพิ่งคลอดอีกด้วย
ลูกพรุน ที่จริงแล้วก็คือลูกพลัมหรือที่รู้จักในอีกชื่อว่าลูกไหน เมื่อนำมาตากแห้งก็จะเรียกในชื่อใหม่ว่าลูกพรุนนั่นเอง ซึ่ง
รู้จักในสรรพคุณเรื่องของกากใย
กินเป็นยา : ในลูกพรุนมีกากใยธรรมชาติ Dietary fiber จำนวนมากหลายชนิด ซึ่งเป็นทั้งชนิดที่ละลายน้ำได้ และละลายน้ำไม่ได้ กากใยอาหารเหล่านี้มีส่วนช่วยลดโคเลสเตอรอลและปัญหาเรื่องระบบขับถ่าย ทั้งยังมีสารต้านอนุมูลอิสระอีกจำนวนมาก นอกจากนี้น้ำลูกพรุนยังเป็นอาหารที่วิตามินซี วิตามินอี แหล่งที่ดีของธาตุเหล็ก ช่วยทำให้ร่างกายและสมองแก่ตัวช้าลง และมีอัตราการเกิดเป็นโรคมะเร็งน้อยลง มีส่วนช่วยในกระบวนการสังเคราะห์เม็ดเลือดแดง และทำให้ร่างกายต่อต้านแบคทีเรียได้ดียิ่งขึ้น
ฟักทอง จัดอยู่จำพวกผัก แต่ก็นิยมนำมาใช้ทำขนมหวาน ผิวตอนที่ยังเป็นผลอ่อนจะมีสีเขียว เมื่อแก่จะแล้วจะมีสีเขียวสลับเหลือง
กินเป็นยา : ในฟักทองมีกากใยสูง อุดมด้วยวิตามินเอและและมีกรดโปรไพโอนิค กรดนี้ทำให้เซลล์มะเร็งอ่อนแอลง ในเมล็ดฟักทองมีสารชื่อ คิวเคอร์บิติน (cucurbitine) ซึ่งมีฤทธิ์ฆ่าพยาธิตัวตืดได้ดี โดยเตรียมเมล็ดฟักทองประมาณ 60 กรัม ทุบให้แตกละเอียดนำมาผสมกับน้ำตาล นม และน้ำเติมลงไปจนได้ประมาณ 500 มิลลิลิตร แบ่งรับประทาน 3 ครั้ง ห่างกันทุก 2 ชั่วโมง
แตงโม ผลไม้เนื้อฉ่ำน้ำ รสหวาน มีทั้งสีเขียวและสีเหลือง บางพันธุ์มีลวดลายบนเปลือก แบ่งออกได้หลายพันธุ์ เช่น แตงโมจินตหรา ผลยาว เปลือกเขียวเข้ม มีลาย เนื้อสีแดง แตงโมตอร์ปิโด ลูกรีกว่าพันธุ์จินตหรา แตงโมกินรี ผลกลม เนื้อแดง แตงโมน้ำผึ้ง ผลกลม เนื้อเหลือง แตงโมไดอานา เปลือกเหลือง เนื้อสีแดง แตงโมจิ๋ว ผลขนาดเท่ากำปั้น เนื้อเหลือง เป็นต้น นิยมกินเป็นผลไม้สด ทำเป็นน้ำผลไม้
กินเป็นยา : แตงโมเป็นผลไม้ที่มีคุณสมบัติเย็น ช่วยให้อารมณ์ดี เพราะมีโพแทสเซียม ที่จะช่วยควบคุมอัตราความดันโลหิต ยังมีสารไลโคปีน ที่มีแอนตี้ออกซิเดนท์ ช่วยบำรุงหัวใจ รวมถึงป้องกันมะเร็ง นอกจากนี้จะช่วยลดอาการไข้ คอแห้ง บรรเทาแผลในปาก
นี่เป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้นนะคะ จริงๆ แล้วผักผลไม้ที่อยู่รอบตัวเรามีประโยชน์หลายหลากทั้งนั้น ที่สำคัญคือต้องกินให้ถูกต้อง สม่ำเสมอ และต้องออกกำลังกายควบคู่ไปด้วยนะคะ
ขอบคุณ momypedia สำหรับข้อมูลดีๆคะ
Thursday, May 31, 2012
เสื้อยืดเก๋ ลายน่ารัก
ดูรูปได้ในลิงก์เลยคะ
Monday, April 2, 2012
ลูกหยุดน่ารักเมื่ออายุเท่าไหร่
ลูกเรา เราก็ต้องว่าน่ารัก... จริงไหมคะ ไม่ว่าเขาจะเพิ่งเกิด จะสามขวบ หรือจะสามสิบแล้ว เราก็ยังรู้สึกว่าลูกเราน่ารักเสมอ แต่ตอนนี้มีนักวิทยาศาสตร์ออกมาชี้เฉพาะให้พ่อแม่เกิดอาการเคืองกันเล็กๆ ว่า จริงๆ แล้วเด็กหรือลูกเราไม่ได้จะน่ารักไปตลอดชีวิต แต่เขามีช่วงเวลาน่ารักเพียงไม่กี่ปีเท่านั้น
เว็บไซต์ Psychology Today นำเสนอบทความที่เกิดจากการศึกษาของนักจิตวิทยาชาวจีน และจากมหาวิทยาลัยโตรอนโต ที่ระบุไว้ว่าเด็กๆ จะมีช่วงอายุที่มีความน่ารัก และเมื่อถึงช่วงอายุหนึ่งเด็กก็จะหยุดน่ารัก ซึ่งความน่ารักที่ว่านี้หมายถึงหน้าตา รูปร่าง และกริยาท่าทาง
นักจิตวิทยากลุ่มนี้ชี้ว่าเด็กจะน่ารักตั้งแต่แรกเกิดไปจนถึงอายุ 4 ขวบครึ่ง และหลังจากนั้นก็จะน่ารักน้อยลง หรือหยุดน่ารักไปเลย นั่นเป็นเพราะเด็กช่วงแรกเกิดจนถึง 4 ขวบครึ่งจะมีรูปร่างหน้าตาที่ใครเห็นก็จะรู้สึกอ่อนโยนขึ้น ตัวอวบๆ หน้ากลมๆ ปากนิดจมูกหน่อย และชอบแสดงท่าทางออกมาในแบบที่ไม่ได้ตั้งใจ ไม่ได้คิด ซึ่งมักจะเป็นท่าทางที่น่ารักทั้งนั้น
เด็กที่อายุเกิน 4 ขวบครึ่งขึ้นไป จะเริ่มรู้ความต้องการของตัวเองมากขึ้น เรียกร้อย และแสดงออกในแบบที่สามารถเลียนแบบ แกล้งทำ หรือมีความไม่เป็นธรรมชาติมากขึ้น
นี่เป็นเพียงผลจากการสำรวจและศึกษาเท่านั้นนะคะ คุณพ่อคุณแม่อย่าเพิ่งปักใจเชื่อเชียวคะว่าลูกหลานเราจะหยุดน่ารักตอน 4 ขวบครึ่งจริงๆ เพราะน้องๆ หนูๆ แต่ละคนมีความสดใสในแบบของตัวเองที่พ่อแม่เห็นทีไรต้องอดยิ้ม อดชื่นใจไม่ได้ จริงไหมคะ
ข้อสำคัญคือ เราเชื่อว่าทุกคนมีความน่ารักในแบบของตัวเองไม่ว่าจะเป็นใคร อายุเท่าไหร่ ขอแค่เรามีความรักให้กันก็พอค่ะ
ขอบุคณ มัมมี่พีเดียคะ
Subscribe to:
Posts (Atom)