โดย: นพ.ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์
จาก: นิตยสาร Life & Family
ภายในเวลาเดือนเดียว ผมได้พบเด็กไม่ยอมไปโรงเรียน 3 คน
คน แรกเริ่มมีอาการเมื่อคุณแม่ซื้อคอมพิวเตอร์เข้าบ้าน คนที่สองเริ่มไม่ไป โรงเรียนเมื่อคุณแม่ไปเรียนต่อปริญญาโทที่กทม. คนที่สามเริ่มไม่ไปโรงเรียนเมื่อคุณพ่อ ย้ายไปต่างจังหวัด น่าแปลกใจมากที่คุณพ่อคุณแม่ของทั้งสามบ้านพูดเหมือนกันอยู่ประโยคหนึ่งนั่น คือ
"บ้านนั้นพ่อเขาซื้อคอมพิวเตอร์เข้าบ้าน ก็ไม่เห็นลูกของเขาจะติดเกมจนไม่ยอมไปโรงเรียนนี่คะ"
"พี่ชายดิฉันก็ไปเรียนเมืองนอก ตอนที่เขาไปเรียนเมืองนอกไม่เห็นลูกเขาจะเป็นแบบนี้"
“ตอนมีลูกคนแรกผมก็ย้ายไปทำงานต่างจังหวัด ไม่เห็นพี่ของเขาจะมีปัญหาอะไร“
ทำนอง ว่าลูกเขายังไม่เห็นจะมีปัญหา ทำไมลูกของเราจึงต้องมีปัญหา ทำไมๆๆ คำตอบคืออย่าเทียบเด็กครับ อย่าเปรียบเทียบเด็กเด็ดขาด บ้านนั้นไม่เห็นเป็น แบบนี้ พี่หนูไม่เห็นเป็นแบบนั้น ทำไมลูกของคุณลุงเรียนเก่งจังเลยน้า เมื่อไหร่ลูกแม่จะ เรียนเก่งเสียทีน้า เลิกเถอะครับ ประโยคน้ำเน่าทำลายจิตใจเด็กๆ ทำนองนี้ เด็กเกิดมาใหม่ๆเป็นผ้าขาวนั้นจริง พ่อแม่และสังคมจะระบายสีอะไรลงไปก็ ได้สีอย่างนั้นเป็นแนวคิดที่ถูกต้อง แต่ว่าผ้าขาวแต่ละผืนบังเอิญไม่เหมือนกันเสียทีเดียว
ในทันทีที่เด็กทารกเกิด เด็กทารกแต่ละคนไม่เหมือนกันทันทีสามประการ
ประการแรก คือพวกเขามีพันธุกรรมคนละแบบ ได้เลือดพ่อแม่ปู่ย่าตายายลุงป้าน้า อาผสมปนเปกันมาไม่เหมือนกัน พ่อใครก็พ่อใคร ย่าใครก็ย่าใคร ต่อให้เป็นพี่น้องท้องเดียว กันก็ยังได้สัดส่วนของพันธุกรรมมาแตกต่างกัน คนพี่อาจจะได้จากปู่เยอะ คนน้องได้จากยาย เยอะกว่า เอ! อันที่จริงน้ากับอาไม่น่าจะเกี่ยวนะครับ
ประการที่สอง คือพวกเขามีระบบประสาทส่วนกลางคนละเรื่อง หมายความว่ามี สมองคนละก้อน จำนวนเซลล์สมองไม่เท่ากัน จำนวนแขนงประสาทที่ถักทอกันเป็นประชา สังคม...เอ๊ย...เป็นร่างแหก็ไม่เท่ากัน ยังไม่นับการให้นมและการอุ้มในหนึ่งขวบปีแรกยิ่ง ส่งผลกระทบต่อจำนวนเซลล์สมองและแขนงประสาท เซลล์สมองยิ่งมาก แขนงประสาท ประสานกันทุกทิศ เด็กๆก็มีศักยภาพของระบบประสาทส่วนกลางมาก
ประการที่สาม คือ พวกเขามีพื้นฐานทางอารมณ์ต่างกัน เด็กแต่ละคนเลี้ยงยาก เลี้ยงง่ายต่างกัน ทำนองว่าบางคนอารมณ์ดีแต่เกิด ในขณะที่บางคนอารมณ์ร้อนแต่เกิด ให้ สังเกตตรงความยากง่ายของการป้อนนม การกล่อมนอน การร้องกวน
แค่เกิดก็ไม่เหมือนกันถึงเพียงนี้ เลี้ยงกันไปอีก 8-9 ปี กว่าจะเกิดปัญหาเรื่อง ไม่ยอมไปโรงเรียน ลองใช้เซลล์ประสาทและแขนงประสาทที่ถักทอกันเป็นร่างแหในสมอง ของคุณพ่อคุณแม่คิดดูเถอะครับว่า ลูกเขาลูกเราจะแตกต่างกันเพียงใด แหม! ยาวจังเลย น่าจะเขียนว่าคุณพ่อคุณแม่คิดดูเถอะครับว่า ลูกเขาลูกเราจะแตกต่างกันเพียงใด สั้นๆก็พอ นะครับ
ผมมักแอบคิดในใจเสมอว่า หากคุณพ่อคุณแม่ขยันเปรียบเทียบลูกเรากับลูกเขา มากๆนะครับ เอาลูกไปแลกเขาเถอะ ง่ายดี
วันนี้พูดเรื่องเปรียบเทียบลูกเราลูกเขานะครับ เรื่องเด็กไม่ยอมไปโรงเรียน เก็บไว้ก่อน
แต่ยังมีคนที่สี่อีกคน คนนี้พิเศษกว่าสามคนแรก ฟังประวัติแล้วจะขนลุก
เหตุเกิดที่โรงเรียนอนุบาลแห่งหนึ่งในเขตแม่สาย ห่างจากกทม.ระยะทาง 809 กม.
คุณ แม่มาปรึกษาหมอว่า ลูกไม่ยอมไปโรงเรียน ทุกวันนี้ต้องจับอุ้มไปมัดไป ตรงที่ว่ามัดไปผมเขียนเว่อร์ครับ ครูก็มาอุ้มต่อจับต่อมัดต่อ เอาเข้าห้องเรียนจนสำเร็จ ตรงที่มัดยังเขียนเว่อร์อยู่ แต่พอสอนเลขก็ไม่ยอมทำโจทย์ ให้คัดไทยก็ไม่ยอมคัด
แม่ว่าใหม่ๆ ก็ช่วยกันกับคุณครู รุมตีก็แล้ว ดุก็แล้ว จนอ่อนใจ ไม่ยอมบวกเลข ไม่ยอมคัดไทยอยู่นั่นแหละ ตรงคำว่ารุมตีนี่ก็เขียนแบบใส่ร้ายป้ายสี ใส่สีตีไข่เข้าไป เดี๋ยวนี้ ก็เลยเลิกตี แต่เวลาไปโรงเรียนยังยากแสนยากเหนื่อยกันทุกเข้าเลย คุณหมอช่วยให้คำแนะ นำหน่อยสิคะ
"เด็กอายุเท่าไรแน่นะครับ" ผมถาม
"3 ขวบเต็มมาได้เดือนแล้วค่ะ" คุณแม่ตอบหน้าตาเฉย ทำเป็นทองไม่รู้ร้อน เอ๊ย คุณแม่ตอบหน้าตาเฉยแบบอินโนเซ้นส์ท์จริงใจในคำตอบ
ถึง ตอนนี้ ผมเกาะเก้าอี้ไว้ไม่ให้หงายหลัง หลังจากให้คำปรึกษาแก่คุณแม่เกี่ยวกับความพร้อมของลูก เด็กเล็กขนาดนี้ไม่ใช่ เรื่องซีเรียสอะไรเลย ที่จะมาเคี่ยวเข็ญให้คิดเลขคัดไทย
"ที่โรงเรียนเขาให้วาดเขียนด้วยค่ะ แต่ลูกเขาก็วาดให้อยู่ในขอบไม่ได้ ได้ ศูนย์กลับบ้านทุกทีเลย คุณครูเขาบ่นทุกวันตอนไปรับนะคะ"
ถึง ตอนนี้ ผมเกาะโต๊ะไว้อย่างเหนียวแน่น ห้ามตกใจหงายหลังเด็ดขาด เสีย บุคลิก แล้วก็เริ่มให้คำปรึกษาเกี่ยวกับกล้ามเนื้อเล็กระหว่างนิ้วมือทั้งสิบของ เด็ก 3 ขวบ ว่าทำอะไรได้ ทำอะไรไม่ได้ คุณแม่เขาดีใจมากเลยครับ ตอนนี้หน้าตาเขาดูสดใส แจ่มกระจ่างเหมือนท้องฟ้าประเทศไทยคืนที่เกิดจันทรุปราคาเต็มดวงยาวนานที่ ว่าพันปีมีครั้ง แต่ยังขออีกคำถาม
"ลูกคนอื่นไม่เห็นเป็นนี่คะ พวกนั้นก็ 3 ขวบ เรียนกันได้ทุกคน"
ไม่ นะครับ อย่าเปรียบเทียบลูกเรากับลูกใครทั้งนั้น ลูกเราคือลูกเรา จะเลี้ยงไม่เลี้ยง จะรักไม่รักจะเอาไม่เอาคิดดูให้ดีๆ คำตอบคือทั้งเอาทั้งรักจะเลี้ยงต่อ เพราะ ฉะนั้นเลิกความคิดเปรียบลูกเรากับลูกคนอื่นเสีย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเปรียบเทียบต่อหน้าเขา
หาก เป็นวัยรุ่นยิ่งเป็นข้อห้าม อย่าเทียบเขากับใครทั้งนั้น นอกจากจะไม่ได้ผล และเกิดผลเสียต่อจิตใจเขาแล้ว ยังอาจจะเกิดผลเสียต่อจิตใจคุณพ่อคุณแม่ด้วย เพราะวัย รุ่นมักคิดหรือพูดว่าพ่อแม่บ้านนี้ก็ไม่เหมือนพ่อแม่บ้านโน่นเช่นเดียวกัน
รวม ทั้งอย่าเทียบวัยรุ่นชายกับพ่อของเขา หรือวัยรุ่นหญิงกับแม่ของเขา หรือ เทียบสลับกันก็ไม่ได้ ท่องไว้อย่าลืมเลยครับว่าเด็กวัยรุ่นนั้นเป็นบุคคลอิสระ เขาเป็นเขา และไม่มีวันเหมือนเรา อย่าพยายามปั้นเขาดั่งใจ มิเช่นนั้นน้ำตาจะเช็ดหัวเข่า
อย่าทำเหมือนนางจันท์เทวี ลูกสังข์ช่วยดูแลบ้านอยู่ดีๆ