Friday, October 9, 2009

การเลือก เสื้อผ้าเด็ก

How to choose suit for baby

การเลือก เสื้อผ้าสำหรับลูกน้อย
ลูกน้อย ของคุณๆที่ถือกำเนิดขึ้นมา คุณพ่อและคุณแม่ จำเป็นต้อง จัดเตรียม
เสื้อผ้า หรือ ผ้าอ้อมที่สะอาด เพื่อใช้ผลัดเปลี่ยน ให้เพียงพอ โดยสิ่งที่ควร
คำนึงถึง ในการเลือกซื้อ หรือ จัดเตรียม เสื้อผ้าสำหรับเด็กอ่อน หรือ ลูกน้อย
ของคุณๆ มีดังนี้ค่ะ
1.ควรเป็นเส้นใยธรรมชาติ เช่น เส้นใยฝ้าย ซักล้างง่าย สามารถใช้กับเครื่องซักผ้าได้
2.สวมใส่ สะดวก สบาย สามารถถอดเปลี่ยนได้ง่าย เพราะเด็กอ่อน จะขับถ่ายบ่อย
3.ควรเป็น ชุดที่สามารถ รักษาอุณหภูมิ ของร่างกายได้ดี เช่น ชุดเสื้อกางเกงติดกัน
4.ปลายแขนเสื้อ หรือปลายขา ควรเป็นแบบธรรมดา และถุงมือ ถุงเท้า ควรแยกชิ้น
ต่างหาก
5.คอเสื้อเด็ก ควรกว้าง ยืดได้สะดวกในการสวมใส่
6.กางเกงเด็ก ควรเป็น แบบยางยืด หรือเชือกผูก แบบง่ายๆ แต่ไม่ควรจะรัดแน่น
จนเกินไป
7.เมื่ออากาศเย็น ควรให้ลูกน้อย ของคุณสวมใส่ ถุงมือ หรือ หมวก
เพื่อรักษาความอบอุ่น
8.ในวันที่อากาศร้อน หรือ ต้องออกไปเจอแสงแดด ควรให้ลูกน้อย สวมใส่
หมวกกันแดด
9.รองเท้า หรือ ถุงเท้า ควรเป็นแบบ ผ้ายืด ที่อ่อนนุ่ม ไม่ควรสวมแบบที่คับ
จนเกินไป
10.ไม่ควรใช้ ผงซักฟอก ที่มีเอนไซม์ย่อยสลายสิ่งสกปรก หรือ น้ำยาปรับผ้านุ่ม
เพราะ จะทำให้ระคายเคือง ต่อผิวหนังของ ทารก ควรใช้ผงซักฟอก สำหรับ
เด็กอ่อน โดยเฉพาะ
รายการเสื้อผ้าเด็ก และ ของใช้เด็ก ที่จำเป็นมีดังนี้ค่ะ
- ชุดลำลองผ้าฝ้าย หรือ ชุดที่สวมใส่สบาย
- เสื้อกล้าม หรือเสื้อยืด แบบเปิดปิดเป้าได้
- ชุดนอนยาว หรือชุดที่ติดกัน เพื่อรักษาอุณหภูมิ
- เสื้อกันหนาว หรือ กันลม ในกรณีหน้าหนาว หรือ ออกนอกบ้าน
- ชุดออกนอกบ้าน ควรเป็นชุดที่ สวมใส่สบาย น่ารัก
- หมวกไหมพรม หมวกกันแดด
- ถุงเท้า ถุงมือ
- รองเท้า
ที่สำคัญ การเลือกขนาด เสื้อผ้าเด็ก ควรเผื่อขนาดสำหรับแผ่นรองกันเปื้อน หรือ
ผ้าอ้อมสำเร็จรูป ไว้ด้วย

จัดกระเป๋า เตรียมตัวคลอด

What mom should prepare before going to the hospital

ประมาณ 1 เดือนก่อนถึง กำหนด คลอด คุณแม่ ควรเตรียมสิ่งของที่จำเป็นสำหรับตัวเองและ ลูกน้อย จัดลงกระเป๋าไว้ให้พร้อม เผื่อว่า เจ็บท้องคลอด จะได้หยิบฉวยได้ทันที สิ่งที่ควรเตรียมไป รพ มีดังนี้

สำหรับคุณแม่
1.ของใช้ส่วนตัว เช่น สบู่ แชมพู แปรงสีฟัน ยาสีฟัน โลชั่น ฯลฯ ใน รพ ส่วนใหญ่ ก็มีของใช้พื้นฐานเหล่านี้ให้อยู่แล้วแต่อาจไม่ถูกใจ คุณแม่ ดังนั้นก็ควรจะเตรียมมาเองดีกว่าค่ะ
2.เสื้อชั้นใน แบบให้นมลูก ถ้าคุณแม่กะว่าจะ ให้นมลูก เอง
3.กางเกงชั้นใน
4.ผ้าอนามัย แบบซึมซับพิเศษ 1-2 ห่อ
5.ชุดใส่กลับบ้าน

สำหรับ ลูกน้อย
1.ชุดใส่กลับบ้าน อาจเป็น เสื้อ กางกาง แยกชิ้น หรือชุดหมี ก็ได้ค่ะ พร้อมด้วย ถุงเท้า ถุงมือ หมวก
2.ผ้าห่อตัวเด็ก
3.ขวดนมขนาดเล็ก 2 ขวด อันนี้แล้วแต่ ร.พ นะคะอาจแตกต่างกัน บาง ร.พ อาจไม่ได้ให้เตรียมไป
อ้อ อย่าลืมว่า เสื้อผ้าลูก น้อย และ ผ้าห่อตัว ต้องซักก่อนนะคะเพราะเสื้อผ้าใหม่อาจมีฝุ่นหรือสารเคมีซึ่งระคายเคืองผิวลูก ค่ะ สำหรับบางคนที่มีความเชื่อว่าไม่ควรเตรียมไว้ก่อนก็ทำlist ไว้ให้คุณพ่อเด็กหรือญาติๆ เตรียมให้ก็ได้ค่ะ

อาการ คุณแม่หลังคลอด

Symtom after gave birth

หลังจากคลอด คุณแม่ จะรู้สึกอ่อนเพลียและเจ็บระบม นอกจากนี้ คุณ แม่ ยังต้องเผชิญกับอาการต่างๆดังนี้ค่ะ
1.มีน้ำคาวปลา จะมี น้ำคาวปลา ซึ่งก็คือเลือดที่ไหลออกมาจากแผลที่เกิดจากการหลุดลอกตัวของ รก ในช่วงแรกจะเป็นสีแดงสดและออกมากหลังจากนั้นจะลดน้อยลงและมีสีจางลง ซึ่งใช้เวลาประมาณ 2-6 สัปดาห์
2.เจ็บแผลที่ฝีเย็บ มักเจ็บมากในช่วง1-2 วันแรก การใช้น้ำอุ่นทำความสะอาดจะช่วยบรรเทาอาการเจ็บได้ การทำความสะอาดต้องเช็ดจากด้านหน้าไปด้านหลัง หากเจ็บแผลมาก หรือ อักเสบอาจนั่งแช่น้ำอุ่นผสมน้ำยาฆ่าเชื้อ(1ช้อนโต๊ะ/น้ำอุ่น1ลิตร) ประมาณ10-15 นาที จากนั้นซับให้แห้ง อาจใช้เครื่องเป่าผมเป่าลมให้แห้ง
3. ปวดท้องน้อย จะรู้สึก ปวดเกร็ง ในช่องโดยเฉพาะเมื่อ ลูกดูดนม เนื่องจาก มดลูกหด ตัวเพื่อกลับสู่สภาพเดิม ถ้าปวดมากจนทนไม่ไหว ให้รับประทานยาแก้ปวด
4.ปัสสาวะบ่อย ในวันแรกๆ หลังคลอด อาจปัสสาวะบ่อย เนื่องจากร่างกายขับน้ำที่สะสมไว้เกินเมื่อ ตั้งครรภ์
5.ท้องผูก เกิดจากลำไส้ทำงานช้าลง ควรกระตุ้น ลำไส้ ด้วยการเดิน ดื่มน้ำมากๆ กินอาหารที่มีกากใยสูง หากรู้สึกอยากถ่ายให้ลองทันทีแต่ห้ามเบ่งแรง ถ้าไม่มั่นใจอาจใช้ ผ้าอนามัย กดบริเวณแผล ฝีเย็บ เพื่อลดความเจ็บปวด

หากคุณแม่มี อาการผิดปกติ ดังต่อไปนี้ควรพบแพทย์ทันทีค่ะ
1.มีเลือดออก ทางช่องคลอดเป็นก้อน ชุ่มผ้าอนามัย1ผืนภายใน1ชม
2.มีไข้ หนาวสั่น ไข้สูงเกิน 38 องศาเซลเซียส
3.มีหนอง หรือเลือดไหลจากแผลฝีเย็บ หรือแผลอักเสบบวมแดงมาก
4.น้ำคาวปลา มีกลิ่นเหม็น หรือมีสีแดงสด ตลอดระยะเวลา15วันหลังคลอด
5.ปวดหัวอย่างรุนแรง

การจะเป็นแม่เนี่ยต้องผ่านความเจ็บปวดและอดทนจริงๆนะคะ คุณผู้ชายทั้งหลายอ่านแล้วคงเห็นใจภรรยามากขึ้น ช่วยดูแลภรรยาและช่วยเลี้ยงลูกด้วยนะคะ

อาการ เจ็บท้องคลอด

Signal to let you know the time of giving birth is coming.

ว่าที่คุณแม่ คงตื่นเต้นและกังวลไม่น้อยกับ การคลอด ที่จะมาถึง เพราะไม่รู้ว่าอาการไหนคือ เจ็บเตือน อาการไหนคือ เจ็บท้องคลอด วันนี้ก็เลยมีข้อมูลที่เกี่ยวกับ การคลอด มาฝากค่ะ
อาการนำ ก่อนคลอด
1.ระดับหน้าท้องลดลง ในช่วงสัปดาห์ท้ายๆของการ ตั้งครรภ์ คุณแม่จะสังเกตเห็นว่าระดับหน้าท้องลดลง เนื่องจากศรีษะของลูกเคลื่อนลงสู่อุ้งเชิงกรานแล้ว
2.ปวดปัสสาวะ บ่อยขึ้น เนื่องจาก ศีรษะของลูก เคลื่อนต่ำลงมากดบนกรเพาะปัสสาวะ

สัญญาณเตือน การคลอด
1.มีมูกปนเลือดออกมาทาง ช่องคลอด มูกนี้อาจออกมาก่อน เจ็บท้องคลอด สองถึงสามวันก็ได้ ดังนั้นคุณแม่ควรรอให้ เจ็บท้อง สม่ำเสมอซึ่งจะมีอาการ ปวดท้องและหลัง ร่วมด้วย หรือมี น้ำเดิน แล้วค่อยไปโรงพยาบาล
2.มดลูกบีบตัว อาจมีอาการ ปวดหน่วงๆ ที่หลัง หรือ ปวดร้าว ไปที่ต้นขา บางคนก็บอกว่าเหมือน ปวดประจำเดือน แต่ปวดมากกว่าเป็น10เท่า ให้สังเกตว่า มดลูก บีบตัวสม่ำเสมอหรือไม่ เช่นอาจปวดทุก20นาที แล้วลดลงเหลือทุก15 นาที ทุก10นาที จนเจ็บถี่ทุก5นาที ก็ควรไปโรงพยาบาลได้แล้วค่ะ
3.น้ำเดิน มีน้ำไหลออกมาเรื่อยๆจากช่องคลอด ให้ไปโรงพยาบาลทันทีแม้จะไม่ปวดท้อง เนื่องจากโอกาสเสี่ยงต่อการติดเชื้อจะมากขึ้น และให้สวมผ้าอนามัยเพื่อซับน้ำไว้จะได้ไม่เลอะ
ส่วน อาการ เจ็บเตือน จะมีอาการ มดลูกบีบตัว แต่ความถี่ไม่แน่นอน และไม่สม่ำเสมอ อาการจะทุเลาลงเมื่อคุณแม่ได้พักผ่อน นั่งหรือนอนนิ่งๆสักครู่ค่ะ

เมื่อมีอาการ เจ็บท้องคลอด ต่อไปก็จะเข้าสู่ระยะของการคลอดซึ่งมี 4 ระยะ
ระยะที่1 เป็นระยะที่ ปากมดลูก เริ่มเปิดจนเปิดหมด ซึ่งจะใช้เวลาประมาณ12-16 ชม ในท้องแรก และ 6-12 ชมในท้องถัดไป แต่อันนี้ไม่แน่นะคะ บางคนก็ คลอดง่าย เหลือเกินก็จะใช้เวลาน้อยกว่านี้ค่ะ
ระยะที่2 เป็นระยะ เบ่งคลอด คือเริ่มตั้งแต่ ปากมดลูก เปิดหมด จน คลอด ทารก ออกมา ท้องแรก จะใช้เวลาประมาณ1-2 ชม ส่วนท้องถัดไปใช้เวลาประมาณ 0.5-1 ชม
ระยะที่3 เป็นระยะ คลอดรก โดยเริ่มหลังจากที่คลอด ทารก จนกระทั่ง คลอดรก และ เยื่อหุ้มรก หมด ใช้เวลาประมาณ 15-30 นาที
ระยะที่4 เป็นระยะ2 ชม แรก หลังคลอด เป็นระยะที่เฝ้าดูอาการคุณแม่ ซึ่งระยะนี้ มดลูก ยังมีการหดรัดตัว ซึ่งจะทำให้ไม่เกิดการ เสียเลือดหลังคลอด
พอพ้น ระยะที่4 ไปแล้วคุณแม่ก็พักผ่อนให้เพียงพอนะคะ เพราะอีกไม่ช้าคุณต้องเตรียมตัว เลี้ยงลูก น้อยของคุณแล้วล่ะค่ะ

อาหารเพิ่มน้ำนม

Food that can increase milk for mom.

ยังไม่ทันที่จะหายเจ็บปวดและอ่อนเพลียจาก การคลอด คุณแม่ ก็มีภารกิจที่สำคัญรออยู่ นั่นก็คือ การให้นมลูก โดยปกติแล้วคุณแม่ จะเริ่มมี น้ำนม หลังจากคลอด 1-2 วัน อาจช้าหรือเร็วกว่านี้ก็ขึ้นอยู่กับความสมบูรณ์ของแต่ละคน สำหรับคุณแม่บางคนอาจมี น้ำนม น้อย ไม่ว่าจะให้ ลูกดูดกระตุ้นอย่างไร ก็ยังไม่เป็นผล ซึ่งบางครั้งคุณแม่ก็สงสารและกลัวลูกหิว จนยอมแพ้และให้ลูกทาน นมผง ไปในที่สุด ก่อนที่จะยอมแพ้ อยากให้คุณแม่ลองหาเมนู อาหาร ที่มีสรรพคุณ กระตุ้นน้ำนม มารับประทานกันดูก่อนเผื่อว่าจะช่วยให้มี น้ำนม มากขึ้นจะได้เลี้ยงลูกด้วย นมแม่ เพราะเราก็ทราบกันดีอยู่แล้วว่า นมแม่ เป็นอาหารที่ดีที่สุดสำหรับลูกแถมยังสะดวกและประหยัดด้วยค่ะ มาดูกันดีกว่านะคะว่ามีอาหารอะไรบ้างที่พอจะช่วย กระตุ้นน้ำนม ได้
1.หัวปลี ต้องยกให้เป็นพระเอกในการ เพิ่มน้ำนม เลยค่ะ เพราะ คุณย่า คุณยาย ทั้งหลาย มักจะให้ คุณแม่หลังคลอด รับประทานแกงเลียงหัวปลี แต่ถ้าคุณไม่ชอบทานแกงเลียง ก็อาจเปลี่ยนเมนู เป็น ยำหัวปลี ต้มยำหัวลี หรือ กินแกล้มกับ น้ำพริก ก็ได้ค่ะ
2.ใบกะเพรา เมนูสิ้นคิดอย่างผัดกะเพรา ที่สาวๆหนุ่มๆออฟฟิศชอบสั่งกันไม่รู้จักเบื่อ ( ก็มันอร่อยนี่ค่ะ) ก็เป็นอาหารที่ กระตุ้นน้ำนม ได้ดีทีเดียวค่ะ
3.ฟักทอง อาจทำเมนู ผัดฟักทอง หรือ ขนมหวาน อย่าง ฟักทองบวด แต่ถ้ากลัวอ้วน ก็ ฟักทองนึ่ง ค่ะ
4.ขิง อาจทำ ไก่ผัดขิง หมูผัดขิง เครื่องในผัดขิง หรือ น้ำขิง ก็ได้ แล้วแต่ชอบนะคะ
5.มะละกอสุก อันนี้ได้ประโยชน์ 2 ต่อ นอกจากช่วยเรื่อง น้ำนม แล้ว ยังช่วย ระบบขับถ่าย ของ คุณแม่หลังคลอด ด้วยค่ะ
6.เม็ดขนุนต้ม คงหากินยากนิดนึง สำหรับ คุณแม่ ที่อยู่ในเมือง แต่ก็ไม่แน่ถ้าบ้านปลูกขนุนก็คงได้กินค่ะ วิธีกินก็ง่ายๆเลยต้ม เม็ดขนุน ให้สุกแล้วก็แกะเปลือกกินได้เลยค่ะ แต่ถ้าไม่ชอบก็เอาไปทำเป็นขนมหวานก็ได้นะคะ ถ้าไม่กลัวอ้วน

จริงๆแล้วไม่จำเป็นต้องรอให้คลอดก่อนถึงจะกินอาหารพวกนี้ได้ คุณแม่สามารถทานได้ตั้งแต่ ตั้งครรภ์ เลยค่ะ เพราะเป็นอาหารพื้นๆที่มีประโยชน์และเราทานกันอยู่แล้ว ชอบเมนูไหนก็ลองไปทำทานกันดูนะคะ

เล่นกับลูกอย่างไรให้สนุก

How to play with your baby funny.

การเล่นกับลูกถือเป็นเรื่องสำคัญนะคะ เพราะการเล่นทำให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ พัฒนาการที่ดี และยังเป็นการแสดงออกถึงความรักและความผูกพันระหว่างพ่อแม่ที่มีต่อลูกได้ คุณพ่อคุณแม่จะต้องแปลกใจเลยล่ะค่ะ เวลาที่เจ้าตัวเล็กเค้ามีปฎิกิริยาโต้ตอบกับเรา เช่นหัวเราะเสียงดังเอิ๊กอ๊าก หรือโบกไม้โบกมือ บรรยากาศที่ดีแบบนี้สามารถก่อให้เกิความสุข ความอบอุ่นภายในบ้านได้ไม่น้อยเลยนะคะ

จริงๆแล้วในขวบปีแรกนั้น ของเล่นที่ดีที่สุดสำหรับลูกก็คือพ่อแม่นั่นเองล่ะค่ะ เราเองต่างเข้าใจว่าลูกน้อยยังฟังอะไรไม่รู้เรื่อง แต่ถึงอย่างนั้นคุณพ่อคุณแม่ก็ควรหมั่นคุยเล่นกับลูกเสมอ อาจจะเล่านิทานให้ฟัง พูดถึงดินฟ้าอากาศเวลาพาลูกออกไปเดินเล่นรับลม ในไม่ช้าไม่นาน คุณพ่อคุณแม่อาจจะได้ยินเสียงบ่น กลั้วอยู่ในลำคอ คลั่กๆ เหมือนเป็นการคุยโต้ตอบของลูกเค้าน่ะค่ะ ทั้งนี้การคุยกับลูกก็เพื่อสอนให้เค้าได้เรียนรู้ คุ้นเคยกับการได้ยิน และรู้จักฟังเสียงจากคนรอบข้างจนในที่สุดแกก็จะสามารถแยกแยะเสียงที่คุ้นเคย ของพ่อแม่ ของเล่นชิ้นโปรด โมบายดนตรี ออกจากเสียงของคนแปลกหน้าได้นะค่ะ

สัมผัสกับของเล่นได้จริงๆตอนอายุได้ 3-4 เดือนแล้ว เค๊าจะเริ่มใช้มือบีบจับสิ่งของต่างๆได้ ดังนั้นของเล่นควรเป็นวัสดุนิ่มๆ หรือพลาสติกที่มีความอ่อนนุ่ม เพราะถึงแม้ว่าเด็กจะชอบของล่นชิ้นนั้นแต่ก็อาจจะนำมาฟาดหน้าตัวเองหรือคุณ พ่อคุณแม่ได้ค่ะ
เราไม่จำเป็นต้องซื้อของเล่นแพงๆให้กับลูกหรอกนะคะ เด็กจะสนใจของใช้ต่างๆรอบตัวเสมอ โดยเฉพาะสิ่งของที่มีสีสันสวยงาม สะดุดตา ไม่ว่าจะเป็นช้อนพลาสติกสีสวยๆ ขวดแป้ง ทั้งนี้ต้องเป็นสิ่งของที่ไม่มีคมและ มีขนาดไม่เล็กมากนัก ตลอดจนมีมาตรฐานที่ดีในการผลิตซึ่งจะไม่ก่อให้เกิดอันตรายในกรณีที่เด็กอาจ นำสิ่งของนั้น ๆ เข้าไปอมในปากได้

เล่นกับคุณลูกให้สนุกนะค่ะ

เลี้ยงลูกให้เก่งและดีต้องมี3G

หากจะถามคุณพ่อคุณแม่ทุกคนว่า อยากจะให้ลูกโตขึ้นเป็นคนอย่างไร คุณพ่อคุณแม่ทุกคนก็คงจะมีคำตอบที่ตรงกันคือ “อยากให้ลูกเป็นคนเก่งและเป็นคนดี” แล้ว คุณพ่อคุณแม่จะเชื่อหรือไม่ว่าการเลี้ยงให้ลูกเป็นคนเก่งและเป็นคนดีนั้นไม่ ใช่เรื่องยากเลยที่จะทำได้ ซึ่งสิ่งสำคัญในการเลี้ยงดูลูกให้เป็นคนเก่งและเป็นคนดีนั้นนอกจากการให้ ความรักและความอบอุ่นแก่ลูกอย่างเต็มที่แล้ว เทคนิค3G.เป็นสิ่งที่นำมาช่วยให้ลูกเก่งและดีได้ด้วยดังนี้

1.เลี้ยงลูกให้มีสุขภาพที่ดี (Good Health) คุณพ่อคุณแม่ควรให้ความสำคัญในการดูแลสุขภาพของลูกตั้งแต่ลูกยังเล็กๆ โดยปลูกฝังนิสัยการรับประทานอย่างถูกสุขลักษณะให้กับลูก ทั้งฝึกให้ลูกรับประทานอาหารให้ครบทั้ง5หมู่ ได้แก่ โปรตีน ที่ได้จากเนื้อสัตว์ นม และธัญพืชชนิดต่างๆ คาร์โบไฮเดรตที่ได้จากแป้งและข้าว วิตามินและเกลือแร่จากผักผลไม้ และไขมันที่ได้จากพืช หลีกเลี่ยงลูกอม ขนมหวาน ขนมกรุบกรอบสำเร็จรูป และน้ำอัดลม นอกจากนี้คุณพ่อคุณแม่ควรส่งเสริมให้ลูก ๆได้ออกกำลังกายเช่น เล่นกีฬา ตามความชอบและความถนัด เต้นรำ กระโดดโลดเต้น เคลื่อนไหวร่างกาย เพื่อให้ลูกมีร่างกายแข็งแรงเติบโตสมส่วนสมวัย ไม่อ้วนไม่ผอมจนเกินไป

2.เลี้ยงลูกให้มีสมองที่ดี (Good Brain) คุณพ่อคุณแม่สามารถฝึกให้ลูกมีสมองที่ดี มีสติปัญญาและไหวพริบในการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า มีความฉลาดในการตัดสินใจและการคิดวิเคราะห์ มีความคิดสร้างสรรค์และจินตนาการ โดยการใช้กิจกรรมที่หลากหลายเข้ามามีส่วนช่วยในการฝึกสมองของลูกได้ ดังเช่น

-กิจกรรมศิลปะ: การที่ลูกได้ วาดรูป ระบายสี ตัด แปะ ปั้น เป็นการช่วยพัฒนาความคิดสร้างสรรค์และจินตนาการ

-กิจกรรมดนตรี: การที่ให้ลูกเล่นดนตรี เคลื่อนไหวตามจังหวะดนตรี ฟังดนตรีที่มีทำนองและจังหวะที่หลากหลาย เป็นการฝึกสมองโดยตรงในเรื่องของความคิดสร้างสรรค์และการคิดวิเคราะห์

-กิจกรรมการท่องเที่ยว: ประสบการณ์จากการพาลูกไปเที่ยว เป็นการเปิดโอกาสให้ลูกได้สัมผัสกับสิ่งแปลกใหม่ ทั้งในเรื่องของผู้คน ภาษา วัฒนธรรม สถานที่ บรรยากาศ ซึ่งเป็นการช่วยเสริมสร้างให้ลูกมีความคิดที่กว้างไกล รู้จักคิดแก้ปัญหาเมื่ออยู่ในสถานการณ์ต่างๆ มีความมั่นใจ มีทักษะทางด้านภาษา และสามารถแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับผู้อื่นได้ดีขึ้น

3.เลี้ยงลูกให้มีจิตใจที่ดี (Good Heart) คุณพ่อคุณแม่มีความสำคัญในการอบรมสั่งสอนให้ลูกมีจิตใจที่ดี ทั้งมีความซื่อสัตย์ ไม่คดโกง ไม่เห็นแก่ตัว มีจิตใจที่เมตตากรุณาต่อผู้อื่น ต่อสัตว์ ต่อธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม หากลูกของเรามีสมองเป็นอัจฉริยะ แต่ขาดความมีจิตใจที่ดีงาม ก็จะนำความรู้และความฉลาดไปใช้ในทางที่ผิด และเป็นภัยอันตรายต่อสังคมได้

วิธี การที่ดีที่สุดในการอบรมให้ลูกเป็นผู้ที่มีจิตใจที่ดีนั้นก็คือการที่พ่อแม่ ทำตัวเป็นแบบอย่างที่ดีแก่ลูกเพราะคุณพ่อคุณแม่ก็เหมือนต้นฉบับของลูก หากต้นฉบับดี สำเนาก็ดี ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่อยากให้ลูกเป็นเช่นใด ก็ควรจะเป็นเช่นนั้นให้ลูกได้เห็นเป็นแบบอย่าง ตัวอย่างเช่น ถ้าอยากให้ลูกเป็นคนใจดีมีเมตตา พ่อแม่ก็ต้องแสดงความเมตตาต่อผู้อื่นให้ลูกได้เห็น หรือถ้าอยากให้ลูกเป็นคนซื่อสัตย์ ไม่พูดโกหก พ่อแม่ก็ต้องไม่พูดโกหกให้ลูกได้ยิน เป็นต้น

คุณพ่อคุณแม่คงเห็นแล้วว่าการเลี้ยงลูกให้เติบโตขึ้นเป็นคนเก่งและ เป็นคนดีนั้น ไม่ใช่เรื่องยากเลยจริงๆ การให้ความรักความอบอุ่นและให้เวลาแก่ลูก ๆ ของเราอย่างเพียงพอบวกกับเทคนิค3G.ที่ว่ามานี้คือ เลี้ยงลูกให้มีสุขภาพ (Good Health) เลี้ยงลูกให้มีสมองดี (Good Brain)เลี้ยงลูกให้มีจิตใจดี (Good Heart) ก็จะทำให้
ลูก ๆ ของเราทุกคนเติบโตขึ้นเป็นคนเก่งและเป็นคนดีได้อย่างแน่นอน

โดย ดร.แพง ชินพงศ์