> ความสุข เกิดขึ้นระหว่างการเดินทาง
> ความสุขไม่ได้อยู่ที่จุดหมายปลายทางที่ไปถึง
>
> คุณบอกกับตัวเองว่า เมื่อได้แต่งงาน และมีลูก ชีวิตของคุณก็จะดีขึ้น
> แต่เมื่อมีลูก และลูกของคุณยังเล็กอยู่ คุณก็เกิดความรู้สึกว่า
> เมื่อเขาโตขึ้นเราคงมีความสุขและสบายขึ้น
>
> แต่เมื่อลูกโตมากขึ้น จนย่างเข้าสู่วัยรุ่น
> คุณกลับรู้สึกไม่ได้ดั่งใจอีกครั้ง
> และเมื่อลูกๆ ผ่านพ้นช่วงวัยรุ่นไปได้
> คุณคิดว่า คุณจะมีความสุขมากขึ้น
> แต่คุณกลับบอกกับตัวเองอีกว่า จะรอให้ลูกๆ
> จัดการกับตัวของเค้าเองให้เรียบร้อยดีเสียก่อน
>
> บางครั้งคุณคิดว่า ถ้าคุณมีบ้าน มีรถ มีวันหยุดพักร้อนนานๆ
> และเมื่อถึงวันเกษียณอายุการทำงาน
> ชีวิตของคุณจะมีความสุขมากที่สุด
> แต่เมื่อเกษียนแล้วก็จริง แต่ทำไมถึงยังไม่มีความสุขสักที
>
> ความสุขของชีวิตอยู่ที่ไหนกัน ?
> แท้จริงแล้ว ความสุขของชีวิต อยู่ ณ ช่วงเวลาขณะนี้ ช่วงเวลาปัจจุบัน
> ไม่ต้องรอให้ความสุขมาหาเราในอนาคต
> เราควรมีความสุข และพึงพอใจกับความสุขอยู่ในปัจจุบัน
>
> ชีวิตของมนุษย์ทุกคน ต้องมีสิ่งท้าทายเข้ามาอยู่ตลอดเวลา ทั้งอุปสรรคต่างๆ
> หรือบททดสอบชีวิตอันยากเข็ญ
> แต่ในที่สุดเราก็จะต้องก้าวผ่านไป อุปสรรคกับชีวิตเป็นของคู่กัน
> ดังนั้น เป็นหน้าที่ของเรา
> ที่ต้องหาความสุขและความพึงพอใจจากการเดินทางบนถนนแห่งชีวิตนี้ซึ่งจะทำให้ ชีวิตมีความสุข
> มากกว่าที่จะรอให้ถึงจุดหมายปลายทางก่อน
> แล้วถึงจะมีความสุขได้
>
> เริ่มหยุดพูดกับตัวเองเสียทีว่า
> ถ้าฉันลดน้ำหนักได้สัก 5 กิโล ฉันถึงจะมีความสุข
> ถ้าฉันได้แต่งงาน ฉันถึงจะมีความสุข
> ถ้าผมมีเงินเก็บ 10 ล้าน ผมถึงจะมีความสุข
> ถ้าผมรวย ผมถึงจะมีความสุข
> ถ้าคุณหยุดพูดถึงสิ่งเหล่านี้ได้ ชีวิตของคุณก็จะมีความสุข
> และคุณจะรู้สึกพึงพอใจกับชีวิต
>
> ตอบคำถาม ต่อไปนี้
> 1. บอกชื่อคน 3 คน ที่รวยที่สุดในโลก
> 2. บอกชื่อนางงามจักรวาล 3 คนล่าสุด
> 3. บอกชื่อ ผู้ที่ได้รับรางวัลโนเบล 3 คนล่าสุด
> 4. บอกชื่อนักแสดงนำชาย 3 คนล่าสุด ที่ได้รับรางวัลออสการ์
>
> นึกไม่ออกใช่ไหม? ไม่ใช่เรื่องแปลก
> ไม่มีใครหรอกที่จะจดจำคนเหล่านี้ได้ทั้งหมด
Thursday, January 20, 2011
Thursday, January 13, 2011
15 สัญญาณเตือน “อัลไซเมอร์” กำลังมา เยือน
คุณเป็นคนขี้ลืมหรือ เปล่าคะ เช่น ลืมว่าวางกุญแจรถไว้ที่ไหน ลืมว่าจะต้องทำอะไรทั้งที่เตือนตัวเองมาตลอดทั้งวันแล้ว ลืมว่าจะพูดอะไรทั้งที่เพิ่งคิดได้เมื่อกี้ หรืออะไรที่เคยทำเป็นปกติอยู่แล้ว แต่อยู่ๆ กลับลืมวิธีทำ หรือทำแล้วรู้สึกว่าทำไมมันถึงได้ยากกว่าเมื่อก่อน บางทีนี่อาจจะไม่ใช่อาการ ขี้ลืมธรรมดาแล้วก็ได้นะคะ
จริงๆ แล้วอาการขี้หลงขี้ลืมก็มีกันอยู่ทุกคนค่ะ แต่ส่วนใหญ่สาเหตุจะมาจากการที่เราไม่มีสมาธิกับการทำสิ่งนั้นๆ จึงไม่ได้สนใจจดจำ หรือคิดทำอะไรหลายๆ อย่างพร้อมกันทำให้สมาธิในการจดจำสั้นลง แต่ในปัจจุบันมีการสำรวจพบว่าเพราะความเครียด มลพิษ ปัญหาต่างๆ ที่เร่งเร้า และอายุที่เพิ่มมากขึ้นก็เป็นสาเหตุที่ทำให้เรากลายเป็นคนขี้ลืม และนำไปสู่โรคความจำเสื่อมหรือ อัลไซเมอร์ได้เช่นกัน แต่อย่าชะล่าใจไปนะคะว่าการลืมของเราเป็นเพียงอาการเล็กน้อยเพราะความเครียด หรือความไม่ใส่ใจ เพราะจริงๆ มันอาจจะเป็นสัญญาณเตือนของโรคที่ร้ายแรงกว่านั้นก็ได้
เพื่อให้ คุณๆ ตั้งตัวรับโรคนี้ได้ทัน เรามาสำรวจตัวเองและคนรอบข้างจาก 15 สัญญาณที่เตือนว่าคุณอาจจะกำลังเข้าข่ายการเป็นอัลไซเมอร์กันดีกว่าค่ะ
1. หงุดหงิด อารมณ์เสียง่ายกว่าปกติ เพราะไม่สามารถควบคุมอารมณ์ตัวเองได้
2. การตัดสินใจแย่ลง เปลี่ยนใจง่าย เช่น ถ้ามีเซลล์แมนมาขายของที่หน้าบ้านก็จะซื้อทันทีซึ่งจะต่างจากแต่ก่อนที่จะ ไม่ซื้อของพวกนี้เลยหรือ ไม่ใช้จ่ายอะไรง่ายๆ ซึ่งข้อนี้มักจะนำไปสู่ปัญหาด้านการเงินด้วย คือใช้จ่ายแบบไม่คิด ใช้เงินโดยไม่คำนวณ ไม่มีการออมไว้เหมือนแต่ก่อน
3. งานหรือกิจกรรมอะไรที่เคยทำอยู่ประจำจะกลายเป็นงานที่ทำได้ยากขึ้น เช่น ลืมวิธีผูกเนคไท ลืมวิธีผูกเชือกรองเท้า หรือถ้าจะทำไข่เจียวก็แตกไข่แตกเละคามือ ลืมปรุง หรือทอดโดยไม่ใส่น้ำมัน เป็นต้น
4. วางของผิดที่ผิดทาง เช่น เอากระเป๋าตังค์ไปใส่ไว้ในตู้เย็น เอาช้อนส้อมไปใส่ไว้ในลิ้นชักตู้เสื้อผ้า โดยไม่คิดว่าเป็นเรื่องผิดและยังใช้ชีวิตปกติทั้งที่ข้าวของยังวางผิดที่
5. สับสนเรื่องเวลา โดยมักจะคิดว่าเวลาผ่านไปนานกว่าปกติ เช่น นั่งรอห้านาทีก็จะคิดว่านั่งรอมาห้าชั่วโมง หรือเพิ่งใส่เสื้อตัวเก่งไปแล้วเมื่อวาน แต่คิดใส่เสื้อตัวนั้นไปเมื่ออาทิตย์ก่อน เดือนก่อน เป็นต้น
6. สื่อสารกับคนอื่นยากขึ้น โดยเฉพาะเรื่องการพูด มักจะเรียงลำดับคำผิด ใช้คำผิด พูดผิด หรือคิดไม่ออกว่าจะใช้คำว่าอะไร จะพูดว่าอะไร
7. เดินออกไปข้างนอกอย่างไม่มีจุดหมาย มักจะเดินออกไปที่ไหนซักที่โดยไม่รู้ว่าจะไปทำไม ไปทำอะไร
8. ทำกิจกรรมบางอย่างแบบมีเหตุผลและซ้ำๆ เช่น เดินไปเปิดตู้เย็นแล้วก็ปิดทันทีโดยที่ไม่ได้อยากหยิบอะไร พอเดินกลับมานั่งก็จะลุกขึ้นไปเปิดและปิดแบบเดิมอีกซ้ำๆ
9. ไม่ค่อยดูแลตัวเอง ทั้งเรื่องการตัดผม ตัดเล็บ หวีผม หรือลืมแม้กระทั่งว่าตื่นมาจะต้องล้างหน้าแปรงฟัน
10. แสดงพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม พูดหรือทำในสิ่งที่โดยปกติจะไม่พูด เช่น พูดว่าคนอื่นว่าอ้วนออกมาตรงๆ เพราะขาดความคิดในการชั่งใจหรือตัดสินใจว่าอะไรถูกหรือผิดเหมือนตอนที่ยัง ไม่เริ่มมีอาการ
11. รู้สึกหวาดระแวงอยู่ตลอดเวลา หรือมักจะชอบคิดว่าตัวเองเห็นใครหรืออะไรคอยซุ่มดูตัวเองอยู่ หรือกลัวคนจะมาทำร้ายตลอดเวลา
12. นอนหลับยาก กระสับกระส่ายในตอนกลางคืนมากกว่าแต่ก่อน
13. ถอยห่างออกมาจากครอบครัว เพื่อน รวมไปถึงกิจกรรมเดิมๆ ที่เคยทำ เช่น ไม่พูดคุยกับใคร ไม่เล่นกีฬาที่เคยเล่นประจำทุกวัน เป็นต้น
14. ชอบทำพฤติกรรมเหมือนเด็กๆ เช่น งอแงเมื่อไม่ได้ดั่งใจ หรือดีใจเกินกว่าเหตุถ้าได้ของที่ต้องการ
15. พูดจาและแสดงอาการก้าวร้าว เช่น พูดว่าหรือด่าทอคนอื่น ทั้งที่แต่ก่อนไม่มีพฤติกรรมอย่างนี้มาก่อน
นี่เป็นเพียงวิธีสังเกต อาการเพียงเบื้องต้นที่เราสามารถสำรวจได้ด้วยตัวเองค่ะ แล้วถ้าใครมีอาการข้างต้นเกินกว่า 5 ข้อขึ้นไปก็ต้องพิจารณาตัวเองได้แล้วนะคะว่าอาจจะเข้าข่ายโรคอัลไซเมอร์ และทางที่ดีคือลองไปพบแพทย์เพื่อตรวจอาการเพิ่มเติมจะดีที่สุดค่ะ เพราะโรคนี้ไม่มีทางรักษาและเราสามารถป้องกันหรือชะลอให้มันเกิดช้าลงได้ค่ะ
เรื่องโดย : momypedia
จริงๆ แล้วอาการขี้หลงขี้ลืมก็มีกันอยู่ทุกคนค่ะ แต่ส่วนใหญ่สาเหตุจะมาจากการที่เราไม่มีสมาธิกับการทำสิ่งนั้นๆ จึงไม่ได้สนใจจดจำ หรือคิดทำอะไรหลายๆ อย่างพร้อมกันทำให้สมาธิในการจดจำสั้นลง แต่ในปัจจุบันมีการสำรวจพบว่าเพราะความเครียด มลพิษ ปัญหาต่างๆ ที่เร่งเร้า และอายุที่เพิ่มมากขึ้นก็เป็นสาเหตุที่ทำให้เรากลายเป็นคนขี้ลืม และนำไปสู่โรคความจำเสื่อมหรือ อัลไซเมอร์ได้เช่นกัน แต่อย่าชะล่าใจไปนะคะว่าการลืมของเราเป็นเพียงอาการเล็กน้อยเพราะความเครียด หรือความไม่ใส่ใจ เพราะจริงๆ มันอาจจะเป็นสัญญาณเตือนของโรคที่ร้ายแรงกว่านั้นก็ได้
เพื่อให้ คุณๆ ตั้งตัวรับโรคนี้ได้ทัน เรามาสำรวจตัวเองและคนรอบข้างจาก 15 สัญญาณที่เตือนว่าคุณอาจจะกำลังเข้าข่ายการเป็นอัลไซเมอร์กันดีกว่าค่ะ
1. หงุดหงิด อารมณ์เสียง่ายกว่าปกติ เพราะไม่สามารถควบคุมอารมณ์ตัวเองได้
2. การตัดสินใจแย่ลง เปลี่ยนใจง่าย เช่น ถ้ามีเซลล์แมนมาขายของที่หน้าบ้านก็จะซื้อทันทีซึ่งจะต่างจากแต่ก่อนที่จะ ไม่ซื้อของพวกนี้เลยหรือ ไม่ใช้จ่ายอะไรง่ายๆ ซึ่งข้อนี้มักจะนำไปสู่ปัญหาด้านการเงินด้วย คือใช้จ่ายแบบไม่คิด ใช้เงินโดยไม่คำนวณ ไม่มีการออมไว้เหมือนแต่ก่อน
3. งานหรือกิจกรรมอะไรที่เคยทำอยู่ประจำจะกลายเป็นงานที่ทำได้ยากขึ้น เช่น ลืมวิธีผูกเนคไท ลืมวิธีผูกเชือกรองเท้า หรือถ้าจะทำไข่เจียวก็แตกไข่แตกเละคามือ ลืมปรุง หรือทอดโดยไม่ใส่น้ำมัน เป็นต้น
4. วางของผิดที่ผิดทาง เช่น เอากระเป๋าตังค์ไปใส่ไว้ในตู้เย็น เอาช้อนส้อมไปใส่ไว้ในลิ้นชักตู้เสื้อผ้า โดยไม่คิดว่าเป็นเรื่องผิดและยังใช้ชีวิตปกติทั้งที่ข้าวของยังวางผิดที่
5. สับสนเรื่องเวลา โดยมักจะคิดว่าเวลาผ่านไปนานกว่าปกติ เช่น นั่งรอห้านาทีก็จะคิดว่านั่งรอมาห้าชั่วโมง หรือเพิ่งใส่เสื้อตัวเก่งไปแล้วเมื่อวาน แต่คิดใส่เสื้อตัวนั้นไปเมื่ออาทิตย์ก่อน เดือนก่อน เป็นต้น
6. สื่อสารกับคนอื่นยากขึ้น โดยเฉพาะเรื่องการพูด มักจะเรียงลำดับคำผิด ใช้คำผิด พูดผิด หรือคิดไม่ออกว่าจะใช้คำว่าอะไร จะพูดว่าอะไร
7. เดินออกไปข้างนอกอย่างไม่มีจุดหมาย มักจะเดินออกไปที่ไหนซักที่โดยไม่รู้ว่าจะไปทำไม ไปทำอะไร
8. ทำกิจกรรมบางอย่างแบบมีเหตุผลและซ้ำๆ เช่น เดินไปเปิดตู้เย็นแล้วก็ปิดทันทีโดยที่ไม่ได้อยากหยิบอะไร พอเดินกลับมานั่งก็จะลุกขึ้นไปเปิดและปิดแบบเดิมอีกซ้ำๆ
9. ไม่ค่อยดูแลตัวเอง ทั้งเรื่องการตัดผม ตัดเล็บ หวีผม หรือลืมแม้กระทั่งว่าตื่นมาจะต้องล้างหน้าแปรงฟัน
10. แสดงพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม พูดหรือทำในสิ่งที่โดยปกติจะไม่พูด เช่น พูดว่าคนอื่นว่าอ้วนออกมาตรงๆ เพราะขาดความคิดในการชั่งใจหรือตัดสินใจว่าอะไรถูกหรือผิดเหมือนตอนที่ยัง ไม่เริ่มมีอาการ
11. รู้สึกหวาดระแวงอยู่ตลอดเวลา หรือมักจะชอบคิดว่าตัวเองเห็นใครหรืออะไรคอยซุ่มดูตัวเองอยู่ หรือกลัวคนจะมาทำร้ายตลอดเวลา
12. นอนหลับยาก กระสับกระส่ายในตอนกลางคืนมากกว่าแต่ก่อน
13. ถอยห่างออกมาจากครอบครัว เพื่อน รวมไปถึงกิจกรรมเดิมๆ ที่เคยทำ เช่น ไม่พูดคุยกับใคร ไม่เล่นกีฬาที่เคยเล่นประจำทุกวัน เป็นต้น
14. ชอบทำพฤติกรรมเหมือนเด็กๆ เช่น งอแงเมื่อไม่ได้ดั่งใจ หรือดีใจเกินกว่าเหตุถ้าได้ของที่ต้องการ
15. พูดจาและแสดงอาการก้าวร้าว เช่น พูดว่าหรือด่าทอคนอื่น ทั้งที่แต่ก่อนไม่มีพฤติกรรมอย่างนี้มาก่อน
นี่เป็นเพียงวิธีสังเกต อาการเพียงเบื้องต้นที่เราสามารถสำรวจได้ด้วยตัวเองค่ะ แล้วถ้าใครมีอาการข้างต้นเกินกว่า 5 ข้อขึ้นไปก็ต้องพิจารณาตัวเองได้แล้วนะคะว่าอาจจะเข้าข่ายโรคอัลไซเมอร์ และทางที่ดีคือลองไปพบแพทย์เพื่อตรวจอาการเพิ่มเติมจะดีที่สุดค่ะ เพราะโรคนี้ไม่มีทางรักษาและเราสามารถป้องกันหรือชะลอให้มันเกิดช้าลงได้ค่ะ
เรื่องโดย : momypedia
Subscribe to:
Posts (Atom)